0:00:00.000,0:00:02.000 เอกภพ 0:00:02.000,0:00:04.000 เป็นอะไรที่กว้างใหญ่ไพศาลจริงๆครับ 0:00:04.000,0:00:07.000 เราอยู่ในดาราจักรที่ชื่อว่า ทางช้างเผือก 0:00:07.000,0:00:10.000 มีดวงดาวนับแสนล้านดวงอยู่ในทางช้างเผือก 0:00:10.000,0:00:12.000 และถ้าคุณเอากล้องถ่ายรูป 0:00:12.000,0:00:14.000 เล็งไปตรงไหนของท้องฟ้าก็ได้ 0:00:14.000,0:00:16.000 แล้วปล่อยช่องรับแสงของกล้องเปิดรับแสงไว้อย่างนั้น 0:00:16.000,0:00:19.000 ตราบใดที่กล้องของคุณเชื่อมติดอยู่กับกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble) ด้วยละก็ 0:00:19.000,0:00:21.000 กล้องก็จะจับภาพได้เป็นแบบนี้ครับ 0:00:21.000,0:00:24.000 ก้อนกลมๆเบลอๆเล็กๆพวกนี้ แต่ละอัน 0:00:24.000,0:00:26.000 คือดาราจักรที่ใหญ่พอๆกับทางช้างเผือกของเรานะครับนี่ 0:00:26.000,0:00:29.000 แต่ละดาราจักร มีดาวเป็นแสนล้านดวงเหมือนกัน 0:00:29.000,0:00:32.000 แล้วก็มีกันร่วมแสนล้านดาราจักร 0:00:32.000,0:00:34.000 ที่ค้นพบได้ในเอกภพนี้ครับ 0:00:34.000,0:00:36.000 เอาเป็นว่า รู้แค่เลขแสนล้านตัวเดียว แค่นั้นก็เกินพอครับ 0:00:36.000,0:00:39.000 อายุของเอกภพ ถ้านับตั้งแต่ปรากฎการณ์บิ๊กแบง มาจนถึงตอนนี้ 0:00:39.000,0:00:41.000 ก็แสนล้านปี ในหน่วยปีแบบหมานะครับ (หนึ่งปีของคน = หลายปีของหมา) 0:00:41.000,0:00:43.000 (เสียงหัวเราะ) 0:00:43.000,0:00:46.000 ซึ่งมันก็บอกอะไรบางอย่าง ถึงที่ของเราในเอกภพแห่งนี้ 0:00:46.000,0:00:48.000 รูปถ่ายแบบนี้ เราสามารถเอาไปใช้ง่ายๆได้อย่างหนึ่งครับ ก็คือเอาไว้ชื่มชม 0:00:48.000,0:00:50.000 ช่างสวยงามตระการตาเหลือเกิน 0:00:50.000,0:00:53.000 ผมสงสัยอยู่บ่อยๆครับว่า อะไรนะที่เป็นแรงผลักทางวิวัฒนาการ 0:00:53.000,0:00:56.000 ที่ก่อให้เกิดบรรพบุรุษของพวกเราขึ้นมาในทุ่งหญ้าเวลด์ท์(Veldt ในทวีปอัฟริกา)แล้ววิวัฒนาการ 0:00:56.000,0:00:58.000 จนได้มาเพลิศเพลินอยู่กับรูปถ่ายกลุ่มดาราจักรพวกนี้ 0:00:58.000,0:01:00.000 ในเมื่อตอนนั้นพวกเขาไม่มีรูปแบบนี้สักกะรูป 0:01:00.000,0:01:02.000 พวกเราเองก็เถอะ เราก็อยากจะเข้าใจเรื่องของเอกภพ 0:01:02.000,0:01:06.000 ในฐานะนักจักรวาลวิทยา ผมก็อยากจะรู้ว่าทำไมเอกภพจึงออกมาเป็นแบบนี้ 0:01:06.000,0:01:09.000 เบาะแสสำคัญที่จะทำให้เราได้คำตอบก็คือ เอกภพนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา 0:01:09.000,0:01:12.000 ถ้าคุณดูที่ดาราจักรพวกนี้สักอันนึง แล้ววัดความเร็ว 0:01:12.000,0:01:14.000 มันก็จะเคลื่อนที่ห่างออกจากคุณไปเรื่อยๆ 0:01:14.000,0:01:16.000 แล้วถ้าคุณดูที่ดาราจักรอันที่อยู่ไกลออกไปอีก 0:01:16.000,0:01:18.000 มันก็ยิ่งจะเคลื่อนที่ห่างออกไปเร็วเข้าไปอีก 0:01:18.000,0:01:20.000 นั่นก็แปลว่า เอกภพมีการขยายตัวครับ 0:01:20.000,0:01:22.000 หมายความว่าอย่างนี้ครับ ในอดีตกาล 0:01:22.000,0:01:24.000 ทุกอย่างอยู่ใกล้ๆรวมกันหมด 0:01:24.000,0:01:26.000 ในอดีต เอกภพอัดตัวแน่นกว่าตอนนี้ครับ 0:01:26.000,0:01:28.000 แล้วก็ร้อนกว่าด้วย 0:01:28.000,0:01:30.000 ถ้าอัดอะไรเข้าด้วยกันแน่นๆ อุณหภูมิก็จะสูงขึ้นครับ 0:01:30.000,0:01:32.000 ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลดี 0:01:32.000,0:01:34.000 แต่ว่ามีอยู่อย่างที่ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่เลย 0:01:34.000,0:01:37.000 ก็คือว่า เอกภพสมัยก่อนนู้น หลังจากที่เกิดบิ๊กแบงไม่เท่าไหร่ 0:01:37.000,0:01:39.000 มันราบเรียบเสมอกันไปหมดหน่ะสิครับ 0:01:39.000,0:01:41.000 คุณอาจจะไม่รู้สึกแปลกใจอะไร 0:01:41.000,0:01:43.000 ก็อย่างอากาศในห้องนี้ ก็ราบเรียบสม่ำเสมอ 0:01:43.000,0:01:46.000 คุณอาจจะบอกว่า "ก็มันก็คงเรียบอย่างนั้นของมัน" 0:01:46.000,0:01:49.000 แต่ว่าสภาพใกล้ๆบิ๊กแบงมันต่างไปจาก 0:01:49.000,0:01:51.000 สภาพอากาศในห้องนี้เยอะมากนะครับ 0:01:51.000,0:01:53.000 ส่วนหนึ่งก็คือทุกอย่างอัดตัวแน่นกว่ามาก 0:01:53.000,0:01:55.000 แรงดึงดูดที่ดึงทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน 0:01:55.000,0:01:57.000 นั้นแรงกว่ามาก ในช่วงที่ใกล้ปรากฎการณ์บิ๊กแบง 0:01:57.000,0:01:59.000 ก็ลองคิดดูว่า 0:01:59.000,0:02:01.000 เรามีเอกภพที่มีถึงแสนล้านดาราจักร 0:02:01.000,0:02:03.000 แต่ละดาราจักร ก็มีดาวอีกแสนล้านดวง 0:02:03.000,0:02:06.000 ในตอนนั้น ดาราจักรทั้งแสนล้านอัน 0:02:06.000,0:02:09.000 ถูกบีบให้มีขนาดเท่าเนี่ย 0:02:09.000,0:02:11.000 เท่านี้จริงๆครับ ตอนช่วงนั้น 0:02:11.000,0:02:13.000 แล้วคุณก็ต้องคิดดูด้วยนะ ว่าการบีบอัด 0:02:13.000,0:02:15.000 ที่ไร้ที่ติ 0:02:15.000,0:02:17.000 ไม่มีแม้กระทั่งจุดเล็กจิ๋ว 0:02:17.000,0:02:19.000 ที่มีอะตอมมากกว่าจุดอื่นสักแค่สองสามอะตอม ก็ไม่มี 0:02:19.000,0:02:22.000 เราถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ดาราจักรก็คงพังทลาย ด้วยผลจากแรงดึงดูด 0:02:22.000,0:02:24.000 แล้วกลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ 0:02:24.000,0:02:27.000 การที่จะทำให้เอกภพเรียบเสมอกันในช่วงเริ่มแรกนั้น 0:02:27.000,0:02:29.000 ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และเป็นการจัดการที่ละเอียดอ่อนมาก 0:02:29.000,0:02:31.000 ซึ่งก็บอกเราเป็นนัย 0:02:31.000,0:02:33.000 ว่าเอกภพในยุคแรกไม่ได้ถูกเลือกมาแบบสุ่มๆ 0:02:33.000,0:02:35.000 แต่มีอะไรบางอย่างทำให้มันเป็นแบบนี้ 0:02:35.000,0:02:37.000 แล้วทีนี้เราก็อยากรู้ว่า อะไรบางอย่างที่ว่า คืออะไรหล่ะ 0:02:37.000,0:02:40.000 ความเข้าใจแนวคิดนี้ ส่วนหนึ่งมาจากลุดหวิก โบล์ท์สมัน (Ludwid Boltzmann) 0:02:40.000,0:02:43.000 นักฟิสิกส์ชาวออสเตรียที่มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 ครับ 0:02:43.000,0:02:46.000 โบล์ท์สมันมีส่วนทำให้เราเข้าใจเอ็นโทรปี 0:02:46.000,0:02:48.000 คุณคงเคยได้ยินคำว่า 'เอ็นโทรปี' มาบ้างแล้ว 0:02:48.000,0:02:51.000 มันก็คือ ความไม่มีแบบแผน ความไร้ระเบียบ ความยุ่งเหยิงของระบบ 0:02:51.000,0:02:53.000 โบล์ท์สมันให้สมการกับเราครับ 0:02:53.000,0:02:55.000 ซึ่งในปัจจุบัน สลักไว้ที่หินเหนือหลุมฝังศพเขาด้วย 0:02:55.000,0:02:57.000 สมการนี้ช่วยให้เราวัดปริมาณเอ็นโทรปีได้จริง 0:02:57.000,0:02:59.000 สมการนี้บอกไว้ง่ายๆ ว่าอย่างนี้ 0:02:59.000,0:03:01.000 เอ็นโทรปี คือ จำนวนวิธี 0:03:01.000,0:03:04.000 ที่เราสามารถใช้ในการจัดเรียงองค์ประกอบของระบบได้โดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 0:03:04.000,0:03:06.000 ดังนั้นในระดับองค์รวมขนาดใหญ่ มันก็ดูเหมือนเดิม 0:03:06.000,0:03:08.000 ถ้าเรามีอากาศอยู่ในห้องนี้ 0:03:08.000,0:03:11.000 คุณก็จะไม่สังเกต อะตอมทุกๆอะตอม 0:03:11.000,0:03:13.000 การจัดเรียงที่มีเอ็นโทรปีต่ำ 0:03:13.000,0:03:15.000 คือมันมีวิธีจัดเรียงแค่ไม่กี่วิธีที่ภาพในองค์รวมยังจะดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง 0:03:15.000,0:03:17.000 การจัดเรียงที่มีเอ็นโทรปีสูง 0:03:17.000,0:03:19.000 ก็การที่มีวิธีจัดเรียงมากมายหลายหลากที่ยังไงๆภาพในองค์รวมก็จะไม่เปลี่ยน 0:03:19.000,0:03:21.000 นี่ถือเป็นความเข้าใจที่เฉียบแหลมลึกซึ้งซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดเลยนะครับ 0:03:21.000,0:03:23.000 เพราะทำให้เราสามารถอธิบาย 0:03:23.000,0:03:25.000 กฏข้อที่สองของอุณหพลศาสตร์ได้ (thermodynamics) 0:03:25.000,0:03:28.000 กฏที่ว่านี้ บอกว่า เอ็นโทรปีจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในเอกภพนี้ 0:03:28.000,0:03:30.000 หรือแม้แต่ส่วนเล็กย่อยของเอกภพด้วย 0:03:30.000,0:03:32.000 สาเหตุว่าทำไมเอ็นโทรปีถึงเพิ่มขึ้น 0:03:32.000,0:03:35.000 ง่ายๆ ก็คือ เพราะว่าจะมีหลากหลายวิธีกว่า 0:03:35.000,0:03:37.000 ที่จะอยู่ในสถานะเอ็นโทรปีสูง มากกว่าที่จะไปเป็นเอ็นโทรปีต่ำ 0:03:37.000,0:03:39.000 นี่เป็นแง่มุมที่ยอดเยี่ยมเฉียบแหลมมากครับ 0:03:39.000,0:03:41.000 แต่ว่ามันก็ยังทิ้งช่องโหว่ไว้ 0:03:41.000,0:03:43.000 เอ้อ เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังที่ว่าเอ็นโทรปีจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 0:03:43.000,0:03:46.000 เป็นที่มาที่ไปของสิ่งที่พวกเราเรียกว่า "ลูกศรแห่งกาลเวลา" นะครับ 0:03:46.000,0:03:48.000 คือความแตกต่างระหว่างเวลาแห่งอดีตกับเวลาแห่งอนาคต 0:03:48.000,0:03:50.000 ทุกๆความต่างที่มีอยู่ 0:03:50.000,0:03:52.000 ระหว่าง เวลาหนึ่งที่เราเรียกว่า 'อดีต' กับ อีกเวลาหนึ่งที่เราเรียกว่า 'อนาคต' 0:03:52.000,0:03:54.000 มันมีได้ก็เพราะว่าเอ็นโทรปีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนี่แหละครับ 0:03:54.000,0:03:57.000 ความเป็นจริงที่ว่า คุณสามารถจำอดีตได้ แต่จำอนาคตไม่ได้ 0:03:57.000,0:04:00.000 ความเป็นจริงที่ว่า คุณเกิด คุณใช้ชีวิต แล้วคุณถึงจะค่อยตาย 0:04:00.000,0:04:02.000 เป็นไปตามลำดับแบบนี้เสมอ 0:04:02.000,0:04:04.000 นั่นก็เพราะว่า เอ็นโทรปีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ 0:04:04.000,0:04:06.000 โบล์ท์สมันอธิบายไว้ว่าถ้าคุณเริ่มจากสภาพที่เอ็นโทรปีต่ำ 0:04:06.000,0:04:08.000 มันเป็นไปตามธรรมชาติเลยครับว่า เอ็นโทรปีจะต้องเพิ่มขึ้น 0:04:08.000,0:04:11.000 เพราะว่ามันมีวิธีที่จะเป็นอยู่ในสภาพที่มีเอ็นโทรปีสูง มากมายกว่านั่นเอง 0:04:11.000,0:04:13.000 แต่สิ่งที่เขาไม่ได้อธิบาย 0:04:13.000,0:04:16.000 ก็คือว่า ทำไมเอ็นโทรปีจึงต่ำมาตั้งแต่แรก 0:04:16.000,0:04:18.000 ความเป็นจริงที่ว่า เอ็นโทรปีของเอกภพมีค่าต่ำ 0:04:18.000,0:04:20.000 เป็นสิ่งที่สะท้อนความจริง 0:04:20.000,0:04:22.000 ว่า เอกภพในยุคเริ่มต้นในเรียบเสมอกันมากๆ 0:04:22.000,0:04:24.000 เราอยากจะทำความเข้าใจกับเรื่องพวกนี้ 0:04:24.000,0:04:26.000 ก็นั่นเป็นหน้าที่ในฐานะของนักจักรวาลวิทยาครับ 0:04:26.000,0:04:28.000 แต่โชคร้ายไปหน่อยที่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ประเด็นปัญหา 0:04:28.000,0:04:30.000 ที่พวกเราให้ความใส่ใจมากพอ 0:04:30.000,0:04:32.000 ไม่ใช่สิ่งแรกๆที่ใครๆจะพูดถึง 0:04:32.000,0:04:34.000 ถ้าคุณถามนักจักรวาลวิทยาสมัยใหม่ว่า 0:04:34.000,0:04:36.000 "ประเด็นปัญหาอะไรที่เราจะกำลังสนใจอยู่ในขณะนี้" 0:04:36.000,0:04:38.000 บุคคลคนหนึ่งที่เข้าใจว่านี่คือประเด็นปัญหา 0:04:38.000,0:04:40.000 คือ ริชาร์ด ฟายน์มัน (Richard Feynman) 0:04:40.000,0:04:42.000 ห้าสิบปีก่อน เขาเคยกล่าวบรรยายมากมายหลากหลายหัวข้อ 0:04:42.000,0:04:44.000 เขาได้ให้การบรรยายที่เป็นที่นิยม 0:04:44.000,0:04:46.000 ซึ่งได้กลายเป็นชุดบรรยาย "คุณลักษณะของกฏฟิิสิกส์ (The Character of Physical Law)" 0:04:46.000,0:04:48.000 การบรรยายในชั่วโมงสอนระดับปริญญาตรีที่คาลเทค (California Institute of Technology: Caltech) 0:04:48.000,0:04:50.000 ได้กลายเป็นชุดบรรยาย "การบรรยายวิชาฟิสิกส์ของฟายน์มัน (The Feynman Lectures on Physics)" 0:04:50.000,0:04:52.000 การบรรยายในชั่วโมงสอนระดับปริญญาโท/เอกที่คาลเทค 0:04:52.000,0:04:54.000 ได้กลายเป็นชุดบรรยาย "การบรรยายเรื่อง แรงดึงดูด ของฟายน์มัน (The Feyman Lectures on Gravitation)" 0:04:54.000,0:04:57.000 ในหนังสือของเขาทุกเล่ม ชุดบรรยายของเขาทุกชุด 0:04:57.000,0:04:59.000 เขาจะเน้นปริศนาข้อนี้: 0:04:59.000,0:05:02.000 ทำไมเอกภพในยุคต้นถึงจะต้องมีเอ็นโทรปีต่ำด้วย 0:05:02.000,0:05:04.000 เขาพูดว่า -- ผมจะไม่พูดตามสำเนียงเขานะ -- 0:05:04.000,0:05:07.000 เขาพูดว่า "ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ครั้งหนึ่งเอกภพ 0:05:07.000,0:05:10.000 เคยมีเอ็นโทรปีที่ต่ำมากสำหรับส่วนประกอบทางพลังงานของมัน 0:05:10.000,0:05:12.000 และตั้งแต่นั้นมา เอ็นโทรปีก็ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 0:05:12.000,0:05:15.000 เราไม่มีทางจะเข้าใจ 'ลูกศรแห่งกาลเวลา' ได้อย่างสมบูรณ์แบบ 0:05:15.000,0:05:18.000 จนกว่าความลี้ลับของจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์เอกภพ 0:05:18.000,0:05:20.000 จะถูกลดทอนลงไปเรื่อยๆจนกระทั่ง 0:05:20.000,0:05:22.000 การคาดคะเนได้กลายเป็นความเข้าใจแล้วเท่านั้น" 0:05:22.000,0:05:24.000 นั่นแหละคืองานของพวกเรา 0:05:24.000,0:05:26.000 เราอยากรู้ -- และนี่มันก็ 50 ปีผ่านมาแล้ว คุณกำลังคิดหล่ะสิว่า "แน่นอนหล่ะ" 0:05:26.000,0:05:28.000 "มาป่านนี้แล้ว พวกเราก็รู้คำตอบแล้วสิ" 0:05:28.000,0:05:30.000 ไม่จริงเลยนะครับที่ว่าเราคิดว่ารู้คำตอบแล้วหน่ะ 0:05:30.000,0:05:32.000 เพราะว่าตอนนี้ ประเด็นปัญหานี้ยิ่งสลับซับซ้อนเข้าไปอีก 0:05:32.000,0:05:34.000 แทนที่ว่าจะง่ายดายขึ้น 0:05:34.000,0:05:36.000 ก็เพราะว่าในปี ค.ศ. 1998 0:05:36.000,0:05:39.000 เราค้นพบอะไรที่บางอย่างที่สำคัญมากเกี่ยวกับเอกภพ ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อนครับ 0:05:39.000,0:05:41.000 เราค้นพบว่า มันขยายตัวด้วยอัตราเร่ง ครับ 0:05:41.000,0:05:43.000 เอกภพไม่ได้แค่ขยายตัวเฉยๆเสียแล้ว 0:05:43.000,0:05:45.000 ถ้าคุณดูที่ดาราจักรแล้วเห็นว่ามันเคลื่อนที่ห่างออกไป 0:05:45.000,0:05:47.000 พอผ่านไปพันล้านปี คุณกลับมาดูอีกหน 0:05:47.000,0:05:50.000 มันจะยิ่งเคลื่อนที่ห่างออกไปเร็วยิ่งขึ้นไปอีก 0:05:50.000,0:05:53.000 ดาราจักรแต่ละอันเคลื่อนที่ห่างออกจากกันเร็วขึ้นๆ 0:05:53.000,0:05:55.000 งั้น สรุปกันสั้นๆก่อนว่า เอกภพขยายตัวในอัตราเร่ง 0:05:55.000,0:05:57.000 กรณีนี้จะต่างจากกรณีเอ็นโทรปีต่ำในยุคเริ่มเอกภพตรงที่ 0:05:57.000,0:05:59.000 ถึงเราจะยังไม่รู้คำตอบ 0:05:59.000,0:06:01.000 แต่อย่างน้อยเราก็มีทฤษฎีที่จะใช้อธิบายได้ 0:06:01.000,0:06:03.000 ถ้าทฤษฎีถูกต้องอะนะครับ 0:06:03.000,0:06:05.000 ทฤษฎีที่ว่าคือ ทฤษฎีพลังงานมืด (dark energy) 0:06:05.000,0:06:08.000 ซึ่งก็เป็นแนวคิดว่า พื้นที่ว่างเปล่าในอวกาศจริงๆแล้วมีพลังงานอยู่ 0:06:08.000,0:06:11.000 ทุกๆลูกบาศก์เซนติเมตรเล็กๆของอวกาศ 0:06:11.000,0:06:13.000 ไม่ว่าจะมีอะไรอยู่หรือไม่ก็ตาม 0:06:13.000,0:06:15.000 ไม่ว่าจะเป็นอนุภาค สสาร รังสี หรืออะไรก็แล้วแต่ 0:06:15.000,0:06:18.000 มีพลังงานอยู่ทั้งนี้ แม้แต่อวกาศเองก็มีพลังงานอยู่ 0:06:18.000,0:06:20.000 และถ้าว่าตามไอน์สไตน์ พลังงานนี้ 0:06:20.000,0:06:23.000 ทำให้มีแรงผลักให้เอกภพขยายตัว 0:06:23.000,0:06:25.000 เป็นแรงกระตุ้นที่ไม่มีวันสิ้นสุด 0:06:25.000,0:06:27.000 ที่ผลักดาราจักรให้ห่างออกจากกัน 0:06:27.000,0:06:30.000 เพราะพลังงานมืด ซึ่งต่างจากสสารหรือรังสี 0:06:30.000,0:06:33.000 จะไม่เจื่อจางหายไปกับการขยายตัวของเอกภพ 0:06:33.000,0:06:35.000 ปริมาณของพลังงานในแต่ละลูกบาศก์เซ็นติเมตร 0:06:35.000,0:06:37.000 มีเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง 0:06:37.000,0:06:39.000 ถึงแม้ว่าเอกภพจะขยายใหญ่ขึ้นๆ 0:06:39.000,0:06:42.000 นี่เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะบอกได้ว่า 0:06:42.000,0:06:45.000 เอกภพจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต 0:06:45.000,0:06:47.000 อย่างหนึ่งเลยก็คือว่า เอกภพจะขยายตัวไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด 0:06:47.000,0:06:49.000 ย้อนกลับไปเมื่อผมอายุเท่าๆพวกคุณ 0:06:49.000,0:06:51.000 เราไม่รู้เลยว่าเอกภพจะเป็นยังไงต่อไป 0:06:51.000,0:06:54.000 บางคนถึงกับคิดว่าในอนาคต เอกภพจะสูญสลาย 0:06:54.000,0:06:56.000 ไอสไตน์ชอบใจแนวคิดนี้มาก 0:06:56.000,0:06:59.000 แต่ว่าถ้ามีพลังงานมืดแล้วมันไม่สูญสลายหายไปไหน 0:06:59.000,0:07:02.000 เอกภพก็จะขยายตัวไปเรื่อยๆ เป็นอย่างนั้นไปชั่วอนันตกาล 0:07:02.000,0:07:04.000 ตั้งแต่เมื่อหมื่นสี่พันล้านปีก่อน 0:07:04.000,0:07:06.000 หรือแสนล้านปีของหมานั่นแหละครับ 0:07:06.000,0:07:09.000 ไปอีกนานเท่านานตราบชั่วนิรันดร์กาล 0:07:09.000,0:07:12.000 แต่ในตอนนี้ ทั้งในทางปฏิบัติและทฤษฎี 0:07:12.000,0:07:14.000 เราก็จะเห็นว่าอวกาศมีที่สิ้นสุด 0:07:14.000,0:07:16.000 อวกาศอาจจะมีหรือไม่มีที่สิ้นสุดก็เป็นได้ 0:07:16.000,0:07:18.000 แต่เพราะว่าเอกภพขยายตัวเร็วๆทุกขณะ 0:07:18.000,0:07:20.000 ถึงจะมีส่วนหนึ่งที่ยังไงเรามองไม่เห็น 0:07:20.000,0:07:22.000 แล้วก็จะไม่มีทางมองเห็นเลยด้วย 0:07:22.000,0:07:24.000 แต่มันก็มีจุดที่สิ้นสุด ที่เราจะเข้าถึงได้ 0:07:24.000,0:07:26.000 เป็นส่วนที่อยู่ภายในเส้นขอบจักรวาลครับ 0:07:26.000,0:07:28.000 ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะดำเนินไปชั่วนิรันดร์ 0:07:28.000,0:07:30.000 แต่สำหรับพวกเราแล้ว อวกาศมีที่สิ้นสุดครับ 0:07:30.000,0:07:33.000 อย่างสุดท้ายก็คือ แม้แต่ที่ว่างเปล่าในอวกาศก็ยังมีอุณหภูมิความร้อนหนาว 0:07:33.000,0:07:35.000 ในช่วงคริสตทศวรรษ 1970 สตีเฟน ฮอว์กิ้ง (Stephen Hawking) บอกว่า 0:07:35.000,0:07:37.000 หลุมดำที่เราคิดกันว่ามืดสนิทนั้น 0:07:37.000,0:07:39.000 จริงๆแล้วมันฉายรังสีออกมาด้วย 0:07:39.000,0:07:41.000 เมื่อเรานำทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมเข้ามาใช้อธิบาย 0:07:41.000,0:07:44.000 ความเว้าโค้งของ กาล-อวกาศ (space-time) รอบๆหลุมดำ 0:07:44.000,0:07:47.000 ก่อให้เกิดความผันผวนปรวนแปรในเชิงกลศาสตร์ควอนตัม 0:07:47.000,0:07:49.000 หลุมดำจึงฉายรังสีออกมา 0:07:49.000,0:07:52.000 ฮอว์กิ้ง และ แกรี่ กิบบอนส์ (Gary Gibbons) ได้ทำการคำนวณออกมาได้ผลคล้ายๆกันครับ 0:07:52.000,0:07:55.000 ซึ่งแสดงว่า มีพลังงานมืดอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าของอวกาศ 0:07:55.000,0:07:58.000 และเอกภพก็ฉายรังสีออกมาโดยทั่ว 0:07:58.000,0:08:00.000 พลังงานในพื้นที่ว่างเปล่าของอวกาศ 0:08:00.000,0:08:02.000 ทำให้เกิดความผันผวนปรวนแปรของควอนตัม 0:08:02.000,0:08:04.000 และ ถึงแม้ว่าเอกภพจะมีอยู่ไปชั่วกาลนาน 0:08:04.000,0:08:07.000 และถึงแม้ว่า สสารและรังสีทั่วๆไปจะเลือนลางจากหายไปในที่สุด 0:08:07.000,0:08:09.000 แต่รังสีนั้น จะยังคงอยู่ไม่ไปไหน 0:08:09.000,0:08:11.000 และก็มีความผันผวนของความร้อนอยู่บ้าง 0:08:11.000,0:08:13.000 แม้แต่ที่อวกาศอันว่างเปล่า 0:08:13.000,0:08:15.000 ทั้งหมดเนี่ย ตีความได้ว่าอย่างนี้ครับ 0:08:15.000,0:08:17.000 ว่าเอกภพก็เหมือนกับกล่องบรรจุก๊าซ 0:08:17.000,0:08:19.000 ที่จะมีอยู่อย่างนั้นต่อไปตลอดกาล 0:08:19.000,0:08:21.000 อืม..ถ้างั้น มันสื่อความหมายโดยนัยว่าอะไรหล่ะ 0:08:21.000,0:08:24.000 ความหมายโดยนัยที่ว่านี้ โบล์ท์สมันได้ทำการศึกษาไว้ตั้งแต่ในศตวรรษที่ 19 แล้วหละครับ 0:08:24.000,0:08:27.000 เขาบอกว่าแบบนี้ครับ เอ็นโทรปีเพิ่มขึ้น 0:08:27.000,0:08:29.000 เพราะว่ามีวิธีมากมายหลายหลากกว่า 0:08:29.000,0:08:32.000 ที่เอกภพจะไปสู่สภาพเอ็นโทรปีสูง แทนที่จะเป็นเอ็นโทรปีต่ำ 0:08:32.000,0:08:35.000 แต่นี่เป็นข้อเท็จจริงในเชิงความน่าจะเป็นนะครับ 0:08:35.000,0:08:37.000 อย่างนี้ครับ มีความเป็นไปได้ที่เอ็นโทรปีจะเพิ่มสูงขึ้น 0:08:37.000,0:08:39.000 และความเป็นไปได้มีอยู่สูงมากๆครับ 0:08:39.000,0:08:41.000 ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องไปกังวลอะไรกับมันหรอกนะครับ 0:08:41.000,0:08:45.000 จะมีโอกาสแค่ไหน ที่อากาศในห้องนี้จะไปกระจุกตัวกันที่นึง แล้วทำให้พวกเราขาดอากาศหายใจกันไม่ออก 0:08:45.000,0:08:47.000 แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยครับ 0:08:47.000,0:08:49.000 ยกเว้นว่า ห้องนี้ถูกปิดสนิท 0:08:49.000,0:08:51.000 แล้วขังเราอยู่แต่ในนี้ไปตลอดกาล 0:08:51.000,0:08:53.000 สิ่งว่านี้อาจเกิดขึ้นได้ 0:08:53.000,0:08:55.000 อะไรก็ตามครับ ที่เป็นไปได้ 0:08:55.000,0:08:58.000 การจัดเรียงโมเลกุลของอากาศในห้องนี้ทุกๆแบบที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ 0:08:58.000,0:09:00.000 ก็ค่อยๆเกิดขึ้นไปจนครบทุกแบบทุกเหตุการณ์ครับ 0:09:00.000,0:09:03.000 โบล์ท์สมันก็เลยบอกว่า 'เอางี้สิ ก็เริ่มจากเอกภพ 0:09:03.000,0:09:05.000 ที่มีความสมดุลในเชิงพลังงานความร้อน' 0:09:05.000,0:09:08.000 เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับบิ๊กแบง และก็ไม่รู้ด้วยว่าเอกภพมีการขยายตัว 0:09:08.000,0:09:11.000 เขาคิดแค่ว่าอวกาศและกาลเวลาอธิบายได้ด้วยกฏของนิวตัน (Isaac Newton) 0:09:11.000,0:09:13.000 ว่าอวกาศและกาลเวลามีความสัมบูรณ์ในตัวเอง และจะเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดไป 0:09:13.000,0:09:15.000 ดังนั้น แนวคิดของเขาในเรื่องเอกภพในธรรมชาติ 0:09:15.000,0:09:18.000 ก็คือแบบที่มีโมเลกุลอากาศกระจายอยู่อย่างสม่ำเสมอทั่วทุกแห่งทุกหน 0:09:18.000,0:09:20.000 เป็นทำนองว่า 'อะไรๆก็โมเลกุล' แบบนั้นเลยครับ 0:09:20.000,0:09:23.000 ถ้าเกิดคุณเป็นโบล์ท์สมัน คุณก็จะรู้ว่า ถ้ารอนานพอ 0:09:23.000,0:09:26.000 ความผันผวนอย่างไร้แบบแผนของโมเลกุลพวกนี้ 0:09:26.000,0:09:28.000 พอโอกาสอำนวย จะทำให้โมเลกุล 0:09:28.000,0:09:30.000 จัดเรียงตัวกันในรูปแบบที่เอ็นโทรปีต่ำ 0:09:30.000,0:09:32.000 ซึ่งถัดต่อไป ว่ากันตามธรรมชาติ 0:09:32.000,0:09:34.000 มันก็จะขยายตัวกลับไปอยู่ดี 0:09:34.000,0:09:36.000 ฉะนั้น เอ็นโทรปีก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นเสมอ 0:09:36.000,0:09:39.000 บางครั้งอาจจะเกิดความผันแปรไปสู่สภาพเอ็นโทรปีต่ำ 0:09:39.000,0:09:41.000 ที่จัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบกว่าบ้างก็ได้เหมือนกัน 0:09:41.000,0:09:43.000 อ่า ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นจริง 0:09:43.000,0:09:45.000 ก็ถือได้ว่า โบล์ท์สมันได้สร้าง 0:09:45.000,0:09:47.000 แนวคิดสมัยใหม่ที่สมเหตุสมผลมากๆถึง 2 แนวคิดด้วยกัน 0:09:47.000,0:09:50.000 ซึ่งก็คือ 'พหุภพ' และ 'หลักมานุษยชาติ' 0:09:50.000,0:09:52.000 เขาบอกว่า ปัญหาของสมดุลความร้อน 0:09:52.000,0:09:54.000 ก็คือ มันเป็นสภาวะที่มนุษย์อย่างพวกเราไม่สามารถมีีชีวิตอยู่ได้ 0:09:54.000,0:09:57.000 ต้องพึงระลึกไว้อย่างหนึ่งก่อนนะครับว่า สิ่งมีชีวิตต้องพึงพาอาศัยลูกศรแห่งกาลเวลา 0:09:57.000,0:09:59.000 เราจะไม่สามารถประมวลข้อมูลใดๆ 0:09:59.000,0:10:01.000 ไม่สามารถมีการสันดาป เดิน หรือแม้แต่พูด 0:10:01.000,0:10:03.000 ถ้าเราอาศัยอยู่ในสภาวะสมดุลความร้อน 0:10:03.000,0:10:05.000 หากเราลองจินตนาการถึงเอกภพที่ใหญ่มหึมา 0:10:05.000,0:10:07.000 ใหญ่มากๆแบบไม่มีขอบเขตสิ้นสุด 0:10:07.000,0:10:09.000 ในนั้นมีอนุภาคที่วิ่งชนกันอย่างอิสระ 0:10:09.000,0:10:12.000 บางครั้งก็จะผันแปรนิดๆหน่อยๆ ในสภาพที่เอ็นโทรปีต่ำ 0:10:12.000,0:10:14.000 แล้วก็คลายตัวกลับมาเป็นเหมือนเก่า 0:10:14.000,0:10:16.000 แต่บางครั้งก็จะมีการแปรผันกันอย่างยิ่งใหญ่ 0:10:16.000,0:10:18.000 บางครั้งนะครับ ก็จะได้เป็นดาวนพเคราะห์ออกมาเลย 0:10:18.000,0:10:20.000 หรืออาจจะดาวฤกษ์ หรือไม่ก็เป็นดาราจักรเลยก็มี 0:10:20.000,0:10:22.000 หรืออาจจะได้เป็นดาราจักรหมื่นล้านอัน 0:10:22.000,0:10:24.000 โบล์ท์สมันก็เลยสรุปว่า 0:10:24.000,0:10:27.000 เราอยู่ในเพียงส่วนหนึ่งของพหุภพ 0:10:27.000,0:10:30.000 เป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนอันยิ่งใหญ่ ของความผันผวนของอนุภาค 0:10:30.000,0:10:32.000 ซึ่งเป็นที่ๆสิิ่งมีชีวิตสามารถดำรงอยู่ได้ 0:10:32.000,0:10:34.000 (ส่วนที่เราอยู่ในพหุภพ) ซึ่งก็คือส่วนที่มีเอ็นโทรปีต่ำครับ 0:10:34.000,0:10:37.000 บางที เอกภาพของเราอาจจะเป็นหนึ่งในนั้น (ส่วนเอ็นโทรปีตำ่) 0:10:37.000,0:10:39.000 ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวก็เป็นได้ 0:10:39.000,0:10:41.000 เอาหล่ะ ที่นี่การบ้านของพวกคุณ 0:10:41.000,0:10:43.000 ก็คือ ลองคิดดูนะครับว่าทั้งหมดเนี่ยมันหมายความว่ายังไง 0:10:43.000,0:10:45.000 เคยมีคำพูดที่ติดหูของ คาร์ล ซาแกน (Carl Sagan) 0:10:45.000,0:10:47.000 เขาบอกว่า "จะทำพายแอ๊ปเปิ้ลได้ 0:10:47.000,0:10:50.000 ขั้นแรกสุดเราตั้งสร้างเอกภพเสียก่อน" 0:10:50.000,0:10:52.000 ซึ่งจริงๆแล้วที่เขาพูดหน่ะไม่ถูกต้องครับ 0:10:52.000,0:10:55.000 ถ้าจะเอาตามแบบโบล์ท์สมัน ต้องเป็นแบบนี้ ถ้าคุณจะทำพายแอ๊ปเปิ้ล 0:10:55.000,0:10:58.000 คุณก็แค่นั่งรอให้อะตอมวิ่งไปมาแบบสุ่มๆ 0:10:58.000,0:11:00.000 แล้วเดี๋ยวมันก็จะกลายเป็นพายแอ๊ปเปิ้ลให้คุณเอง 0:11:00.000,0:11:02.000 แถมมันยังจะเกิดขึ้นบ่อยกว่า 0:11:02.000,0:11:04.000 การที่อะตอมจะวิ่งสุ่มไปสุ่มมา 0:11:04.000,0:11:06.000 แล้วกลายเป็นสวนแอ๊ปเปิ้ล 0:11:06.000,0:11:08.000 เป็นน้ำตาล เป็นเตาอบ 0:11:08.000,0:11:10.000 แล้วค่อยมารวมกันกลายเป็นพายแอ๊ปเปิ้ลให้คุณทีหลัง 0:11:10.000,0:11:13.000 ดังนั้น สถาณการณ์นี้ได้ทำให้เกิดการคาดการพยากรณ์ 0:11:13.000,0:11:15.000 คำพยากรณ์มีว่าอย่างนี้ครับ 0:11:15.000,0:11:18.000 ความแปรผันที่ทำให้มีเราอยู่ทุกวันนี้ มันเล็กน้อยเท่านั้นครับ 0:11:18.000,0:11:21.000 ถึงแม้ว่าคุณจะรู้สึกว่าห้องที่เราอยู่กันตอนนี้เนี่ย 0:11:21.000,0:11:23.000 มีตัวตนและมีอยู่จริง แล้วพวกเราก็อยู่ที่นี้ด้วย 0:11:23.000,0:11:25.000 แล้วสิ่งที่เรามีก็ไม่ใช่แค่ความทรงจำเพียงอย่างเดียว 0:11:25.000,0:11:27.000 แต่เรายังมีเจตคติ ว่าข้างนอกห้องนี้ยังมีอย่างอื่นด้วย 0:11:27.000,0:11:31.000 เช่นสิ่งที่เรียกว่า สถาบันคาลเทคฯ และ สหรัฐอเมริกา แล้วก็ ดาราจักรทางช้างเผือก 0:11:31.000,0:11:34.000 เจตคติพวกเนี่ยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในสมองเราง่ายกว่า- 0:11:34.000,0:11:36.000 การที่มันจะเกิดขึ้นจริงๆจากความผันผวนทางฟิสิกส์ 0:11:36.000,0:11:39.000 จนกลายเป็นสถาบันคาลเทคฯ สหรัฐอเมริกา และเป็นดาราจักรแบบนี้ครับ 0:11:39.000,0:11:41.000 ข่าวดีก็คือว่า 0:11:41.000,0:11:44.000 ดังนั้นเหตุการณ์นี้ก็เป็นไปไม่ได้ มันไม่ถูกต้องครับ 0:11:44.000,0:11:47.000 แนวคิดนี้พยากรณ์ว่าพวกเราควรจะเป็นผลพวงของความผันแปรขั้นต่ำ 0:11:47.000,0:11:49.000 ถึงแม้คุณจะคิดว่า เราไม่มีดาราจักรของเรา 0:11:49.000,0:11:51.000 คุณก็จะไม่มีทางได้ ดาราจักรอื่นอีกแสนล้านหรอกครับ 0:11:51.000,0:11:53.000 และ ฟายน์มัน ก็เข้าใจอย่างนี้หมือนกัน 0:11:53.000,0:11:57.000 ฟายน์มัน บอกว่า "จากสมมติฐานที่ว่าโลกคือผลพวงของความผันแปร 0:11:57.000,0:11:59.000 ก็จะพยากรณ์ได้ว่า 0:11:59.000,0:12:01.000 ถ้าเรามองไปตรงส่วนใดส่วนหนึ่งของโลกที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน 0:12:01.000,0:12:03.000 เราจะต้องเห็นว่ามันรกเรื้อไปหมด ไม่เหมือนอย่างที่เราเห็นเมื่อตะกี้นี้ซึ่งเป็นสภาวะ 0:12:03.000,0:12:05.000 เอ็นโทรปีสูง 0:12:05.000,0:12:07.000 และถ้าความเป็นระเบียบเข้าที่เข้าทาง เกิดจากความผันแปรละก็ 0:12:07.000,0:12:09.000 มันก็ไม่น่าจะมีที่ไหนที่ดูเป็นระเบียบอีกแล้วนอกจากตรงที่เราเพิ่งจะเห็น 0:12:09.000,0:12:13.000 เพราะอย่างนี้ จึงพอจะสรุปได้ว่า เอกภพไม่ใช่ผลพวงของความแปรผัน" 0:12:13.000,0:12:16.000 เป็นคำอธิบายที่ดีมากครับ คราวนี้คำถามก็จะกลายเป็นว่าแล้วคำตอบที่ถูกต้องหล่ะคืออะไร 0:12:16.000,0:12:18.000 ถ้าเอกภพไม่ใช่ผลพวกของความแปรผัน 0:12:18.000,0:12:21.000 ทำไมเอกภพในยุคต้นๆถึงได้มีเอ็นโทรปีต่ำ 0:12:21.000,0:12:24.000 ผมอยากจะเฉลยคำตอบนั้นจริงๆครับ แต่เวลาพูดของผมจะหมดแล้วหน่ะสิ 0:12:24.000,0:12:26.000 (เสียงหัวเราะ) 0:12:26.000,0:12:28.000 นี่คือเอกภพที่เรานำเสนอให้คุณฟัง 0:12:28.000,0:12:30.000 เทียบกับเอกภพจริงๆที่เป็นอยู่ 0:12:30.000,0:12:32.000 รูปนี้ ผมเพิ่งนำเสนอไปเมื่อกี้ 0:12:32.000,0:12:34.000 เอกภพมีการขยายตัวตลอดหมื่นล้านปีที่ผ่านมาหรืออะไรทำนองนั้น 0:12:34.000,0:12:36.000 แล้วมันก็เย็นตัวลง 0:12:36.000,0:12:38.000 แต่ในปัจจุบัน เรามีความรู้มากพอ เกี่ยวกับอนาคตของเอกภพ 0:12:38.000,0:12:40.000 ที่จะสามารถอธิบายอะไรได้อีกหลายอย่าง 0:12:40.000,0:12:42.000 ถ้าพลังงานมืดยังคงมีทั่วไป 0:12:42.000,0:12:45.000 ดวงฤกษ์ที่อยู่โดยรอบพวกเรา ก็ใช้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ของพวกมัน เผาไปจนหมดเกลี้ยง 0:12:45.000,0:12:47.000 แล้วก็จะยุบตัวไปในหลุมดำ 0:12:47.000,0:12:49.000 เราก็จะอยู่ในเอกภพ 0:12:49.000,0:12:51.000 ที่ไม่มีอะไรในนั้นเลยนอกจากหลุมดำ 0:12:51.000,0:12:55.000 เอกภพที่ว่าจะคงอยู่ต่อไปอีกนานเป็น 10 ยกกำลัง 100 ปี 0:12:55.000,0:12:57.000 นานกว่า ช่วงชีวิตจนถึงปัจจุบัน ของเอกภพเล็กๆของเราเสียอีก 0:12:57.000,0:12:59.000 อนาคตยังอีกยาวไกลครับเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา 0:12:59.000,0:13:01.000 แต่แม้กระทั่งหลุมดำก็ไม่ได้อยู่ไปตลอดกาล 0:13:01.000,0:13:03.000 มันจะจางหายไปในที่สุด 0:13:03.000,0:13:05.000 และเราก็จะถูกทิ้งไว้ในอวกาศที่ความว่างเปล่า 0:13:05.000,0:13:09.000 ความว่างเปล่านั้น จะเป็นไปชั่วนิจนิรันดร 0:13:09.000,0:13:12.000 แต่ยังไงก็ตาม คุณทราบแล้วว่า เพราะแม้แต่พื้นที่ว่างๆในอวกาศก็ฉายรังสีออกมา 0:13:12.000,0:13:14.000 ดังนั้นมันก็มีเกิดความผันแปรของพลังงาน 0:13:14.000,0:13:16.000 แล้วมันก็กระจายไปรอบๆ 0:13:16.000,0:13:18.000 ด้วยความน่าจะเป็นทั้งหมดหลายรูปแบบ 0:13:18.000,0:13:21.000 ตามการเปลี่ยนแปรค่าอย่างอิสระ (degree of freedom) ในอวกาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า 0:13:21.000,0:13:23.000 เพราะฉะนั้น แม้ว่าเอกภพจะอยู่ไปชั่วนิรันดร์ 0:13:23.000,0:13:25.000 เหตุการณ์ที่มีจำนวนเป็นอันตะ (จำกัด) เท่านั้น 0:13:25.000,0:13:27.000 ที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ในเอกภพ 0:13:27.000,0:13:29.000 พวกมันเกิดขึ้นในช่วงเวลา 0:13:29.000,0:13:32.000 ที่มีค่าประมาณ 10 ยกกำลัง 10 ยกกำลัง 120 ปี 0:13:32.000,0:13:34.000 อืม..อย่างนั้น ผมก็อยากถามคุณสักสองคำถามครับ 0:13:34.000,0:13:37.000 คำถามแรก ก็คือ ถ้าหากว่าเอกภพอยู่ไปนานถึง 10 ยกกำลัง 10 ยกกำลัง 120 ปี 0:13:37.000,0:13:39.000 ทำไม มนุษย์ถึงถือกำเนิด 0:13:39.000,0:13:42.000 ในช่วงหมื่นสี่พันล้านปีแรกของเอกภพ 0:13:42.000,0:13:45.000 ซึ่งอบอุ่น สบาย ที่เกิดถัดจากการเกิดบิ๊กแบงกันเลย 0:13:45.000,0:13:47.000 ทำไมเราถึงไม่ไปเกิดอยู่ในความว่างเปล่าของอวกาศหล่ะครับ 0:13:47.000,0:13:49.000 คุณอาจจะบอกว่า "อ่ะ ก็มันไม่มีอะไรให้เราใช้ชีิวิตอยู่ได้นิ" 0:13:49.000,0:13:51.000 พูดอย่างนั้นอาจจะไม่ค่อยถูกต้องนักครับ 0:13:51.000,0:13:53.000 จู่ๆคุณอาจจะจุติผุดขึ้นมาเฉยๆจากความไม่มีอะไรเลยก็เป็นหนิ 0:13:53.000,0:13:55.000 ก็แล้วทำไมไม่เป็นอย่างนั้นหล่ะ 0:13:55.000,0:13:58.000 เอาหล่ะสิ คุณได้การบ้านกลับไปคิดเพิ่มอีกแล้วครับ 0:13:58.000,0:14:00.000 ก็อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วครับว่า จริงๆผมก็ไม่รู้คำตอบหรอก 0:14:00.000,0:14:02.000 แต่ผมจะเล่าให้ฟังถึงแนวคิดที่ผมชอบก็แล้วกันครับ 0:14:02.000,0:14:05.000 อาจจะเป็นว่า เอกภพมันก็เป็นแบบนั้นแหละ ไม่ต้องมีคำอธิบาย 0:14:05.000,0:14:07.000 มันเป็นความจริง แบบทื่อๆแท้ ของเอกภพ 0:14:07.000,0:14:10.000 ที่คุณควรที่จะเรียนรู้ ที่จะยอมรับมันซะ แล้วหยุดถามซะที 0:14:11.000,0:14:13.000 หรือว่า บางที บิ๊กแบง 0:14:13.000,0:14:15.000 ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเอกภพก็เป็นได้ 0:14:15.000,0:14:18.000 อย่างไข่ ที่เป็นฟองๆนี่นะครับ ก็มีการจัดเรียงเอ็นโทรปีต่ำ 0:14:18.000,0:14:20.000 ถึงอย่างนั้น พอเราเปิดตู้เย็น 0:14:20.000,0:14:22.000 เราก็จะไม่พูดว่า "ฮ่า น่าแปลกใจจังที่เจอ 0:14:22.000,0:14:24.000 การจัดเรียงรูปแบบเอ็นโทรปีต่ำในตู้เย็นของเราเองด้วย" 0:14:24.000,0:14:27.000 นั่นก็เพราะว่าไข่ไม่ได้อยู่ในระบบปิดหน่ะสิครับ 0:14:27.000,0:14:29.000 แต่มันออกมาจากแม่ไก่ 0:14:29.000,0:14:33.000 บางทีเอกภพอาจจะออกมาจากแม่ไก่ของเอกภพอีกทีก็ได้ครับ 0:14:33.000,0:14:35.000 บางทีอาจจะมีอะไรบางอย่างตามธรรมชาติ 0:14:35.000,0:14:38.000 ที่อ้างอิงได้ด้วยกฏฟิสิกส์ที่พัฒนาขึ้นทุกวันนี้ 0:14:38.000,0:14:40.000 ก่อให้เกิดเอกภพอย่างเอกภพของเรา 0:14:40.000,0:14:42.000 ซึ่งอยู่ในสภาวะเอ็นโทรปีต่ำ 0:14:42.000,0:14:44.000 ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มันควรเกิดขึ้นมากกว่าครั้งเดียว 0:14:44.000,0:14:47.000 เราควรจะเป็นส่วนหนึ่งของพหุภพที่ใหญ่มหึมามากกว่านี้ 0:14:47.000,0:14:49.000 อันนี้เป็นแนวคิดที่ผมชอบครับ 0:14:49.000,0:14:52.000 อ่อ พอดีว่าทางผู้จัดเขาขอให้ผมจบการบรรยายด้วยแนวคิดที่ชัดเจน 0:14:52.000,0:14:54.000 ผมก็เลยขอฟันธงตรงประเด็นไปเลยว่า 0:14:54.000,0:14:57.000 ประวัติศาสตร์จะจารึกไว้ว่า (แนวคิดของ)ผมถูกต้องสมบูรณ์ 0:14:57.000,0:14:59.000 และ 50 ปีต่อไปจากนี้ 0:14:59.000,0:15:02.000 แนวความคิดที่บ้าๆของผมทั้งหมดจะได้รับการยอมรับว่าเป็นความจริง 0:15:02.000,0:15:05.000 ทั้งใน และ นอก วงการวิทยาศาสตร์ 0:15:05.000,0:15:07.000 พวกเราจะเชื่อกันว่าเอกภพเล็กๆของเรา 0:15:07.000,0:15:10.000 เป็นแค่เพียงส่วนเสี้ยวของพหุภพที่ใหญ่มหึมากว่ามาก 0:15:10.000,0:15:13.000 และยิ่งไปกว่านั้น เราจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นตอนเกิดบิ๊กแบง 0:15:13.000,0:15:15.000 ในเชิงของทฤษฎี 0:15:15.000,0:15:17.000 ซึ่งจะสามารถทำให้เราเปรียบเทียบกับการข้อมูลจากการสังเกตได้ 0:15:17.000,0:15:19.000 นี่เป็นเพียงการคาดเดาครับ ผมอาจผิดก็ได้ 0:15:19.000,0:15:21.000 แต่ในฐานะมนุษยชาติ เราก็ครุ่นคิดกันมาโดยตลอด 0:15:21.000,0:15:23.000 ว่าเอกภพจะรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง 0:15:23.000,0:15:26.000 ทำไมมันถึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่แบบนี้มานานนับไม่รู้จะกี่ปี 0:15:26.000,0:15:29.000 เพียงแค่คิดว่าสักวันนึง เราจะสามารถรู้คำตอบได้ นี่ก็ตื่นเต้นมากแล้วครับ 0:15:29.000,0:15:31.000 ขอบคุณครับ 0:15:31.000,0:15:33.000 (เสียงปรบมือ)