1 00:00:00,000 --> 00:00:02,000 เอกภพ 2 00:00:02,000 --> 00:00:04,000 เป็นอะไรที่กว้างใหญ่ไพศาลจริงๆครับ 3 00:00:04,000 --> 00:00:07,000 เราอยู่ในดาราจักรที่ชื่อว่า ทางช้างเผือก 4 00:00:07,000 --> 00:00:10,000 มีดวงดาวนับแสนล้านดวงอยู่ในทางช้างเผือก 5 00:00:10,000 --> 00:00:12,000 และถ้าคุณเอากล้องถ่ายรูป 6 00:00:12,000 --> 00:00:14,000 เล็งไปตรงไหนของท้องฟ้าก็ได้ 7 00:00:14,000 --> 00:00:16,000 แล้วปล่อยช่องรับแสงของกล้องเปิดรับแสงไว้อย่างนั้น 8 00:00:16,000 --> 00:00:19,000 ตราบใดที่กล้องของคุณเชื่อมติดอยู่กับกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble) ด้วยละก็ 9 00:00:19,000 --> 00:00:21,000 กล้องก็จะจับภาพได้เป็นแบบนี้ครับ 10 00:00:21,000 --> 00:00:24,000 ก้อนกลมๆเบลอๆเล็กๆพวกนี้ แต่ละอัน 11 00:00:24,000 --> 00:00:26,000 คือดาราจักรที่ใหญ่พอๆกับทางช้างเผือกของเรานะครับนี่ 12 00:00:26,000 --> 00:00:29,000 แต่ละดาราจักร มีดาวเป็นแสนล้านดวงเหมือนกัน 13 00:00:29,000 --> 00:00:32,000 แล้วก็มีกันร่วมแสนล้านดาราจักร 14 00:00:32,000 --> 00:00:34,000 ที่ค้นพบได้ในเอกภพนี้ครับ 15 00:00:34,000 --> 00:00:36,000 เอาเป็นว่า รู้แค่เลขแสนล้านตัวเดียว แค่นั้นก็เกินพอครับ 16 00:00:36,000 --> 00:00:39,000 อายุของเอกภพ ถ้านับตั้งแต่ปรากฎการณ์บิ๊กแบง มาจนถึงตอนนี้ 17 00:00:39,000 --> 00:00:41,000 ก็แสนล้านปี ในหน่วยปีแบบหมานะครับ (หนึ่งปีของคน = หลายปีของหมา) 18 00:00:41,000 --> 00:00:43,000 (เสียงหัวเราะ) 19 00:00:43,000 --> 00:00:46,000 ซึ่งมันก็บอกอะไรบางอย่าง ถึงที่ของเราในเอกภพแห่งนี้ 20 00:00:46,000 --> 00:00:48,000 รูปถ่ายแบบนี้ เราสามารถเอาไปใช้ง่ายๆได้อย่างหนึ่งครับ ก็คือเอาไว้ชื่มชม 21 00:00:48,000 --> 00:00:50,000 ช่างสวยงามตระการตาเหลือเกิน 22 00:00:50,000 --> 00:00:53,000 ผมสงสัยอยู่บ่อยๆครับว่า อะไรนะที่เป็นแรงผลักทางวิวัฒนาการ 23 00:00:53,000 --> 00:00:56,000 ที่ก่อให้เกิดบรรพบุรุษของพวกเราขึ้นมาในทุ่งหญ้าเวลด์ท์(Veldt ในทวีปอัฟริกา)แล้ววิวัฒนาการ 24 00:00:56,000 --> 00:00:58,000 จนได้มาเพลิศเพลินอยู่กับรูปถ่ายกลุ่มดาราจักรพวกนี้ 25 00:00:58,000 --> 00:01:00,000 ในเมื่อตอนนั้นพวกเขาไม่มีรูปแบบนี้สักกะรูป 26 00:01:00,000 --> 00:01:02,000 พวกเราเองก็เถอะ เราก็อยากจะเข้าใจเรื่องของเอกภพ 27 00:01:02,000 --> 00:01:06,000 ในฐานะนักจักรวาลวิทยา ผมก็อยากจะรู้ว่าทำไมเอกภพจึงออกมาเป็นแบบนี้ 28 00:01:06,000 --> 00:01:09,000 เบาะแสสำคัญที่จะทำให้เราได้คำตอบก็คือ เอกภพนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา 29 00:01:09,000 --> 00:01:12,000 ถ้าคุณดูที่ดาราจักรพวกนี้สักอันนึง แล้ววัดความเร็ว 30 00:01:12,000 --> 00:01:14,000 มันก็จะเคลื่อนที่ห่างออกจากคุณไปเรื่อยๆ 31 00:01:14,000 --> 00:01:16,000 แล้วถ้าคุณดูที่ดาราจักรอันที่อยู่ไกลออกไปอีก 32 00:01:16,000 --> 00:01:18,000 มันก็ยิ่งจะเคลื่อนที่ห่างออกไปเร็วเข้าไปอีก 33 00:01:18,000 --> 00:01:20,000 นั่นก็แปลว่า เอกภพมีการขยายตัวครับ 34 00:01:20,000 --> 00:01:22,000 หมายความว่าอย่างนี้ครับ ในอดีตกาล 35 00:01:22,000 --> 00:01:24,000 ทุกอย่างอยู่ใกล้ๆรวมกันหมด 36 00:01:24,000 --> 00:01:26,000 ในอดีต เอกภพอัดตัวแน่นกว่าตอนนี้ครับ 37 00:01:26,000 --> 00:01:28,000 แล้วก็ร้อนกว่าด้วย 38 00:01:28,000 --> 00:01:30,000 ถ้าอัดอะไรเข้าด้วยกันแน่นๆ อุณหภูมิก็จะสูงขึ้นครับ 39 00:01:30,000 --> 00:01:32,000 ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลดี 40 00:01:32,000 --> 00:01:34,000 แต่ว่ามีอยู่อย่างที่ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่เลย 41 00:01:34,000 --> 00:01:37,000 ก็คือว่า เอกภพสมัยก่อนนู้น หลังจากที่เกิดบิ๊กแบงไม่เท่าไหร่ 42 00:01:37,000 --> 00:01:39,000 มันราบเรียบเสมอกันไปหมดหน่ะสิครับ 43 00:01:39,000 --> 00:01:41,000 คุณอาจจะไม่รู้สึกแปลกใจอะไร 44 00:01:41,000 --> 00:01:43,000 ก็อย่างอากาศในห้องนี้ ก็ราบเรียบสม่ำเสมอ 45 00:01:43,000 --> 00:01:46,000 คุณอาจจะบอกว่า "ก็มันก็คงเรียบอย่างนั้นของมัน" 46 00:01:46,000 --> 00:01:49,000 แต่ว่าสภาพใกล้ๆบิ๊กแบงมันต่างไปจาก 47 00:01:49,000 --> 00:01:51,000 สภาพอากาศในห้องนี้เยอะมากนะครับ 48 00:01:51,000 --> 00:01:53,000 ส่วนหนึ่งก็คือทุกอย่างอัดตัวแน่นกว่ามาก 49 00:01:53,000 --> 00:01:55,000 แรงดึงดูดที่ดึงทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน 50 00:01:55,000 --> 00:01:57,000 นั้นแรงกว่ามาก ในช่วงที่ใกล้ปรากฎการณ์บิ๊กแบง 51 00:01:57,000 --> 00:01:59,000 ก็ลองคิดดูว่า 52 00:01:59,000 --> 00:02:01,000 เรามีเอกภพที่มีถึงแสนล้านดาราจักร 53 00:02:01,000 --> 00:02:03,000 แต่ละดาราจักร ก็มีดาวอีกแสนล้านดวง 54 00:02:03,000 --> 00:02:06,000 ในตอนนั้น ดาราจักรทั้งแสนล้านอัน 55 00:02:06,000 --> 00:02:09,000 ถูกบีบให้มีขนาดเท่าเนี่ย 56 00:02:09,000 --> 00:02:11,000 เท่านี้จริงๆครับ ตอนช่วงนั้น 57 00:02:11,000 --> 00:02:13,000 แล้วคุณก็ต้องคิดดูด้วยนะ ว่าการบีบอัด 58 00:02:13,000 --> 00:02:15,000 ที่ไร้ที่ติ 59 00:02:15,000 --> 00:02:17,000 ไม่มีแม้กระทั่งจุดเล็กจิ๋ว 60 00:02:17,000 --> 00:02:19,000 ที่มีอะตอมมากกว่าจุดอื่นสักแค่สองสามอะตอม ก็ไม่มี 61 00:02:19,000 --> 00:02:22,000 เราถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ดาราจักรก็คงพังทลาย ด้วยผลจากแรงดึงดูด 62 00:02:22,000 --> 00:02:24,000 แล้วกลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ 63 00:02:24,000 --> 00:02:27,000 การที่จะทำให้เอกภพเรียบเสมอกันในช่วงเริ่มแรกนั้น 64 00:02:27,000 --> 00:02:29,000 ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และเป็นการจัดการที่ละเอียดอ่อนมาก 65 00:02:29,000 --> 00:02:31,000 ซึ่งก็บอกเราเป็นนัย 66 00:02:31,000 --> 00:02:33,000 ว่าเอกภพในยุคแรกไม่ได้ถูกเลือกมาแบบสุ่มๆ 67 00:02:33,000 --> 00:02:35,000 แต่มีอะไรบางอย่างทำให้มันเป็นแบบนี้ 68 00:02:35,000 --> 00:02:37,000 แล้วทีนี้เราก็อยากรู้ว่า อะไรบางอย่างที่ว่า คืออะไรหล่ะ 69 00:02:37,000 --> 00:02:40,000 ความเข้าใจแนวคิดนี้ ส่วนหนึ่งมาจากลุดหวิก โบล์ท์สมัน (Ludwid Boltzmann) 70 00:02:40,000 --> 00:02:43,000 นักฟิสิกส์ชาวออสเตรียที่มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 ครับ 71 00:02:43,000 --> 00:02:46,000 โบล์ท์สมันมีส่วนทำให้เราเข้าใจเอ็นโทรปี 72 00:02:46,000 --> 00:02:48,000 คุณคงเคยได้ยินคำว่า 'เอ็นโทรปี' มาบ้างแล้ว 73 00:02:48,000 --> 00:02:51,000 มันก็คือ ความไม่มีแบบแผน ความไร้ระเบียบ ความยุ่งเหยิงของระบบ 74 00:02:51,000 --> 00:02:53,000 โบล์ท์สมันให้สมการกับเราครับ 75 00:02:53,000 --> 00:02:55,000 ซึ่งในปัจจุบัน สลักไว้ที่หินเหนือหลุมฝังศพเขาด้วย 76 00:02:55,000 --> 00:02:57,000 สมการนี้ช่วยให้เราวัดปริมาณเอ็นโทรปีได้จริง 77 00:02:57,000 --> 00:02:59,000 สมการนี้บอกไว้ง่ายๆ ว่าอย่างนี้ 78 00:02:59,000 --> 00:03:01,000 เอ็นโทรปี คือ จำนวนวิธี 79 00:03:01,000 --> 00:03:04,000 ที่เราสามารถใช้ในการจัดเรียงองค์ประกอบของระบบได้โดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 80 00:03:04,000 --> 00:03:06,000 ดังนั้นในระดับองค์รวมขนาดใหญ่ มันก็ดูเหมือนเดิม 81 00:03:06,000 --> 00:03:08,000 ถ้าเรามีอากาศอยู่ในห้องนี้ 82 00:03:08,000 --> 00:03:11,000 คุณก็จะไม่สังเกต อะตอมทุกๆอะตอม 83 00:03:11,000 --> 00:03:13,000 การจัดเรียงที่มีเอ็นโทรปีต่ำ 84 00:03:13,000 --> 00:03:15,000 คือมันมีวิธีจัดเรียงแค่ไม่กี่วิธีที่ภาพในองค์รวมยังจะดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง 85 00:03:15,000 --> 00:03:17,000 การจัดเรียงที่มีเอ็นโทรปีสูง 86 00:03:17,000 --> 00:03:19,000 ก็การที่มีวิธีจัดเรียงมากมายหลายหลากที่ยังไงๆภาพในองค์รวมก็จะไม่เปลี่ยน 87 00:03:19,000 --> 00:03:21,000 นี่ถือเป็นความเข้าใจที่เฉียบแหลมลึกซึ้งซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดเลยนะครับ 88 00:03:21,000 --> 00:03:23,000 เพราะทำให้เราสามารถอธิบาย 89 00:03:23,000 --> 00:03:25,000 กฏข้อที่สองของอุณหพลศาสตร์ได้ (thermodynamics) 90 00:03:25,000 --> 00:03:28,000 กฏที่ว่านี้ บอกว่า เอ็นโทรปีจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในเอกภพนี้ 91 00:03:28,000 --> 00:03:30,000 หรือแม้แต่ส่วนเล็กย่อยของเอกภพด้วย 92 00:03:30,000 --> 00:03:32,000 สาเหตุว่าทำไมเอ็นโทรปีถึงเพิ่มขึ้น 93 00:03:32,000 --> 00:03:35,000 ง่ายๆ ก็คือ เพราะว่าจะมีหลากหลายวิธีกว่า 94 00:03:35,000 --> 00:03:37,000 ที่จะอยู่ในสถานะเอ็นโทรปีสูง มากกว่าที่จะไปเป็นเอ็นโทรปีต่ำ 95 00:03:37,000 --> 00:03:39,000 นี่เป็นแง่มุมที่ยอดเยี่ยมเฉียบแหลมมากครับ 96 00:03:39,000 --> 00:03:41,000 แต่ว่ามันก็ยังทิ้งช่องโหว่ไว้ 97 00:03:41,000 --> 00:03:43,000 เอ้อ เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังที่ว่าเอ็นโทรปีจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 98 00:03:43,000 --> 00:03:46,000 เป็นที่มาที่ไปของสิ่งที่พวกเราเรียกว่า "ลูกศรแห่งกาลเวลา" นะครับ 99 00:03:46,000 --> 00:03:48,000 คือความแตกต่างระหว่างเวลาแห่งอดีตกับเวลาแห่งอนาคต 100 00:03:48,000 --> 00:03:50,000 ทุกๆความต่างที่มีอยู่ 101 00:03:50,000 --> 00:03:52,000 ระหว่าง เวลาหนึ่งที่เราเรียกว่า 'อดีต' กับ อีกเวลาหนึ่งที่เราเรียกว่า 'อนาคต' 102 00:03:52,000 --> 00:03:54,000 มันมีได้ก็เพราะว่าเอ็นโทรปีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนี่แหละครับ 103 00:03:54,000 --> 00:03:57,000 ความเป็นจริงที่ว่า คุณสามารถจำอดีตได้ แต่จำอนาคตไม่ได้ 104 00:03:57,000 --> 00:04:00,000 ความเป็นจริงที่ว่า คุณเกิด คุณใช้ชีวิต แล้วคุณถึงจะค่อยตาย 105 00:04:00,000 --> 00:04:02,000 เป็นไปตามลำดับแบบนี้เสมอ 106 00:04:02,000 --> 00:04:04,000 นั่นก็เพราะว่า เอ็นโทรปีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ 107 00:04:04,000 --> 00:04:06,000 โบล์ท์สมันอธิบายไว้ว่าถ้าคุณเริ่มจากสภาพที่เอ็นโทรปีต่ำ 108 00:04:06,000 --> 00:04:08,000 มันเป็นไปตามธรรมชาติเลยครับว่า เอ็นโทรปีจะต้องเพิ่มขึ้น 109 00:04:08,000 --> 00:04:11,000 เพราะว่ามันมีวิธีที่จะเป็นอยู่ในสภาพที่มีเอ็นโทรปีสูง มากมายกว่านั่นเอง 110 00:04:11,000 --> 00:04:13,000 แต่สิ่งที่เขาไม่ได้อธิบาย 111 00:04:13,000 --> 00:04:16,000 ก็คือว่า ทำไมเอ็นโทรปีจึงต่ำมาตั้งแต่แรก 112 00:04:16,000 --> 00:04:18,000 ความเป็นจริงที่ว่า เอ็นโทรปีของเอกภพมีค่าต่ำ 113 00:04:18,000 --> 00:04:20,000 เป็นสิ่งที่สะท้อนความจริง 114 00:04:20,000 --> 00:04:22,000 ว่า เอกภพในยุคเริ่มต้นในเรียบเสมอกันมากๆ 115 00:04:22,000 --> 00:04:24,000 เราอยากจะทำความเข้าใจกับเรื่องพวกนี้ 116 00:04:24,000 --> 00:04:26,000 ก็นั่นเป็นหน้าที่ในฐานะของนักจักรวาลวิทยาครับ 117 00:04:26,000 --> 00:04:28,000 แต่โชคร้ายไปหน่อยที่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ประเด็นปัญหา 118 00:04:28,000 --> 00:04:30,000 ที่พวกเราให้ความใส่ใจมากพอ 119 00:04:30,000 --> 00:04:32,000 ไม่ใช่สิ่งแรกๆที่ใครๆจะพูดถึง 120 00:04:32,000 --> 00:04:34,000 ถ้าคุณถามนักจักรวาลวิทยาสมัยใหม่ว่า 121 00:04:34,000 --> 00:04:36,000 "ประเด็นปัญหาอะไรที่เราจะกำลังสนใจอยู่ในขณะนี้" 122 00:04:36,000 --> 00:04:38,000 บุคคลคนหนึ่งที่เข้าใจว่านี่คือประเด็นปัญหา 123 00:04:38,000 --> 00:04:40,000 คือ ริชาร์ด ฟายน์มัน (Richard Feynman) 124 00:04:40,000 --> 00:04:42,000 ห้าสิบปีก่อน เขาเคยกล่าวบรรยายมากมายหลากหลายหัวข้อ 125 00:04:42,000 --> 00:04:44,000 เขาได้ให้การบรรยายที่เป็นที่นิยม 126 00:04:44,000 --> 00:04:46,000 ซึ่งได้กลายเป็นชุดบรรยาย "คุณลักษณะของกฏฟิิสิกส์ (The Character of Physical Law)" 127 00:04:46,000 --> 00:04:48,000 การบรรยายในชั่วโมงสอนระดับปริญญาตรีที่คาลเทค (California Institute of Technology: Caltech) 128 00:04:48,000 --> 00:04:50,000 ได้กลายเป็นชุดบรรยาย "การบรรยายวิชาฟิสิกส์ของฟายน์มัน (The Feynman Lectures on Physics)" 129 00:04:50,000 --> 00:04:52,000 การบรรยายในชั่วโมงสอนระดับปริญญาโท/เอกที่คาลเทค 130 00:04:52,000 --> 00:04:54,000 ได้กลายเป็นชุดบรรยาย "การบรรยายเรื่อง แรงดึงดูด ของฟายน์มัน (The Feyman Lectures on Gravitation)" 131 00:04:54,000 --> 00:04:57,000 ในหนังสือของเขาทุกเล่ม ชุดบรรยายของเขาทุกชุด 132 00:04:57,000 --> 00:04:59,000 เขาจะเน้นปริศนาข้อนี้: 133 00:04:59,000 --> 00:05:02,000 ทำไมเอกภพในยุคต้นถึงจะต้องมีเอ็นโทรปีต่ำด้วย 134 00:05:02,000 --> 00:05:04,000 เขาพูดว่า -- ผมจะไม่พูดตามสำเนียงเขานะ -- 135 00:05:04,000 --> 00:05:07,000 เขาพูดว่า "ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ครั้งหนึ่งเอกภพ 136 00:05:07,000 --> 00:05:10,000 เคยมีเอ็นโทรปีที่ต่ำมากสำหรับส่วนประกอบทางพลังงานของมัน 137 00:05:10,000 --> 00:05:12,000 และตั้งแต่นั้นมา เอ็นโทรปีก็ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 138 00:05:12,000 --> 00:05:15,000 เราไม่มีทางจะเข้าใจ 'ลูกศรแห่งกาลเวลา' ได้อย่างสมบูรณ์แบบ 139 00:05:15,000 --> 00:05:18,000 จนกว่าความลี้ลับของจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์เอกภพ 140 00:05:18,000 --> 00:05:20,000 จะถูกลดทอนลงไปเรื่อยๆจนกระทั่ง 141 00:05:20,000 --> 00:05:22,000 การคาดคะเนได้กลายเป็นความเข้าใจแล้วเท่านั้น" 142 00:05:22,000 --> 00:05:24,000 นั่นแหละคืองานของพวกเรา 143 00:05:24,000 --> 00:05:26,000 เราอยากรู้ -- และนี่มันก็ 50 ปีผ่านมาแล้ว คุณกำลังคิดหล่ะสิว่า "แน่นอนหล่ะ" 144 00:05:26,000 --> 00:05:28,000 "มาป่านนี้แล้ว พวกเราก็รู้คำตอบแล้วสิ" 145 00:05:28,000 --> 00:05:30,000 ไม่จริงเลยนะครับที่ว่าเราคิดว่ารู้คำตอบแล้วหน่ะ 146 00:05:30,000 --> 00:05:32,000 เพราะว่าตอนนี้ ประเด็นปัญหานี้ยิ่งสลับซับซ้อนเข้าไปอีก 147 00:05:32,000 --> 00:05:34,000 แทนที่ว่าจะง่ายดายขึ้น 148 00:05:34,000 --> 00:05:36,000 ก็เพราะว่าในปี ค.ศ. 1998 149 00:05:36,000 --> 00:05:39,000 เราค้นพบอะไรที่บางอย่างที่สำคัญมากเกี่ยวกับเอกภพ ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อนครับ 150 00:05:39,000 --> 00:05:41,000 เราค้นพบว่า มันขยายตัวด้วยอัตราเร่ง ครับ 151 00:05:41,000 --> 00:05:43,000 เอกภพไม่ได้แค่ขยายตัวเฉยๆเสียแล้ว 152 00:05:43,000 --> 00:05:45,000 ถ้าคุณดูที่ดาราจักรแล้วเห็นว่ามันเคลื่อนที่ห่างออกไป 153 00:05:45,000 --> 00:05:47,000 พอผ่านไปพันล้านปี คุณกลับมาดูอีกหน 154 00:05:47,000 --> 00:05:50,000 มันจะยิ่งเคลื่อนที่ห่างออกไปเร็วยิ่งขึ้นไปอีก 155 00:05:50,000 --> 00:05:53,000 ดาราจักรแต่ละอันเคลื่อนที่ห่างออกจากกันเร็วขึ้นๆ 156 00:05:53,000 --> 00:05:55,000 งั้น สรุปกันสั้นๆก่อนว่า เอกภพขยายตัวในอัตราเร่ง 157 00:05:55,000 --> 00:05:57,000 กรณีนี้จะต่างจากกรณีเอ็นโทรปีต่ำในยุคเริ่มเอกภพตรงที่ 158 00:05:57,000 --> 00:05:59,000 ถึงเราจะยังไม่รู้คำตอบ 159 00:05:59,000 --> 00:06:01,000 แต่อย่างน้อยเราก็มีทฤษฎีที่จะใช้อธิบายได้ 160 00:06:01,000 --> 00:06:03,000 ถ้าทฤษฎีถูกต้องอะนะครับ 161 00:06:03,000 --> 00:06:05,000 ทฤษฎีที่ว่าคือ ทฤษฎีพลังงานมืด (dark energy) 162 00:06:05,000 --> 00:06:08,000 ซึ่งก็เป็นแนวคิดว่า พื้นที่ว่างเปล่าในอวกาศจริงๆแล้วมีพลังงานอยู่ 163 00:06:08,000 --> 00:06:11,000 ทุกๆลูกบาศก์เซนติเมตรเล็กๆของอวกาศ 164 00:06:11,000 --> 00:06:13,000 ไม่ว่าจะมีอะไรอยู่หรือไม่ก็ตาม 165 00:06:13,000 --> 00:06:15,000 ไม่ว่าจะเป็นอนุภาค สสาร รังสี หรืออะไรก็แล้วแต่ 166 00:06:15,000 --> 00:06:18,000 มีพลังงานอยู่ทั้งนี้ แม้แต่อวกาศเองก็มีพลังงานอยู่ 167 00:06:18,000 --> 00:06:20,000 และถ้าว่าตามไอน์สไตน์ พลังงานนี้ 168 00:06:20,000 --> 00:06:23,000 ทำให้มีแรงผลักให้เอกภพขยายตัว 169 00:06:23,000 --> 00:06:25,000 เป็นแรงกระตุ้นที่ไม่มีวันสิ้นสุด 170 00:06:25,000 --> 00:06:27,000 ที่ผลักดาราจักรให้ห่างออกจากกัน 171 00:06:27,000 --> 00:06:30,000 เพราะพลังงานมืด ซึ่งต่างจากสสารหรือรังสี 172 00:06:30,000 --> 00:06:33,000 จะไม่เจื่อจางหายไปกับการขยายตัวของเอกภพ 173 00:06:33,000 --> 00:06:35,000 ปริมาณของพลังงานในแต่ละลูกบาศก์เซ็นติเมตร 174 00:06:35,000 --> 00:06:37,000 มีเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง 175 00:06:37,000 --> 00:06:39,000 ถึงแม้ว่าเอกภพจะขยายใหญ่ขึ้นๆ 176 00:06:39,000 --> 00:06:42,000 นี่เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะบอกได้ว่า 177 00:06:42,000 --> 00:06:45,000 เอกภพจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต 178 00:06:45,000 --> 00:06:47,000 อย่างหนึ่งเลยก็คือว่า เอกภพจะขยายตัวไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด 179 00:06:47,000 --> 00:06:49,000 ย้อนกลับไปเมื่อผมอายุเท่าๆพวกคุณ 180 00:06:49,000 --> 00:06:51,000 เราไม่รู้เลยว่าเอกภพจะเป็นยังไงต่อไป 181 00:06:51,000 --> 00:06:54,000 บางคนถึงกับคิดว่าในอนาคต เอกภพจะสูญสลาย 182 00:06:54,000 --> 00:06:56,000 ไอสไตน์ชอบใจแนวคิดนี้มาก 183 00:06:56,000 --> 00:06:59,000 แต่ว่าถ้ามีพลังงานมืดแล้วมันไม่สูญสลายหายไปไหน 184 00:06:59,000 --> 00:07:02,000 เอกภพก็จะขยายตัวไปเรื่อยๆ เป็นอย่างนั้นไปชั่วอนันตกาล 185 00:07:02,000 --> 00:07:04,000 ตั้งแต่เมื่อหมื่นสี่พันล้านปีก่อน 186 00:07:04,000 --> 00:07:06,000 หรือแสนล้านปีของหมานั่นแหละครับ 187 00:07:06,000 --> 00:07:09,000 ไปอีกนานเท่านานตราบชั่วนิรันดร์กาล 188 00:07:09,000 --> 00:07:12,000 แต่ในตอนนี้ ทั้งในทางปฏิบัติและทฤษฎี 189 00:07:12,000 --> 00:07:14,000 เราก็จะเห็นว่าอวกาศมีที่สิ้นสุด 190 00:07:14,000 --> 00:07:16,000 อวกาศอาจจะมีหรือไม่มีที่สิ้นสุดก็เป็นได้ 191 00:07:16,000 --> 00:07:18,000 แต่เพราะว่าเอกภพขยายตัวเร็วๆทุกขณะ 192 00:07:18,000 --> 00:07:20,000 ถึงจะมีส่วนหนึ่งที่ยังไงเรามองไม่เห็น 193 00:07:20,000 --> 00:07:22,000 แล้วก็จะไม่มีทางมองเห็นเลยด้วย 194 00:07:22,000 --> 00:07:24,000 แต่มันก็มีจุดที่สิ้นสุด ที่เราจะเข้าถึงได้ 195 00:07:24,000 --> 00:07:26,000 เป็นส่วนที่อยู่ภายในเส้นขอบจักรวาลครับ 196 00:07:26,000 --> 00:07:28,000 ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะดำเนินไปชั่วนิรันดร์ 197 00:07:28,000 --> 00:07:30,000 แต่สำหรับพวกเราแล้ว อวกาศมีที่สิ้นสุดครับ 198 00:07:30,000 --> 00:07:33,000 อย่างสุดท้ายก็คือ แม้แต่ที่ว่างเปล่าในอวกาศก็ยังมีอุณหภูมิความร้อนหนาว 199 00:07:33,000 --> 00:07:35,000 ในช่วงคริสตทศวรรษ 1970 สตีเฟน ฮอว์กิ้ง (Stephen Hawking) บอกว่า 200 00:07:35,000 --> 00:07:37,000 หลุมดำที่เราคิดกันว่ามืดสนิทนั้น 201 00:07:37,000 --> 00:07:39,000 จริงๆแล้วมันฉายรังสีออกมาด้วย 202 00:07:39,000 --> 00:07:41,000 เมื่อเรานำทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมเข้ามาใช้อธิบาย 203 00:07:41,000 --> 00:07:44,000 ความเว้าโค้งของ กาล-อวกาศ (space-time) รอบๆหลุมดำ 204 00:07:44,000 --> 00:07:47,000 ก่อให้เกิดความผันผวนปรวนแปรในเชิงกลศาสตร์ควอนตัม 205 00:07:47,000 --> 00:07:49,000 หลุมดำจึงฉายรังสีออกมา 206 00:07:49,000 --> 00:07:52,000 ฮอว์กิ้ง และ แกรี่ กิบบอนส์ (Gary Gibbons) ได้ทำการคำนวณออกมาได้ผลคล้ายๆกันครับ 207 00:07:52,000 --> 00:07:55,000 ซึ่งแสดงว่า มีพลังงานมืดอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าของอวกาศ 208 00:07:55,000 --> 00:07:58,000 และเอกภพก็ฉายรังสีออกมาโดยทั่ว 209 00:07:58,000 --> 00:08:00,000 พลังงานในพื้นที่ว่างเปล่าของอวกาศ 210 00:08:00,000 --> 00:08:02,000 ทำให้เกิดความผันผวนปรวนแปรของควอนตัม 211 00:08:02,000 --> 00:08:04,000 และ ถึงแม้ว่าเอกภพจะมีอยู่ไปชั่วกาลนาน 212 00:08:04,000 --> 00:08:07,000 และถึงแม้ว่า สสารและรังสีทั่วๆไปจะเลือนลางจากหายไปในที่สุด 213 00:08:07,000 --> 00:08:09,000 แต่รังสีนั้น จะยังคงอยู่ไม่ไปไหน 214 00:08:09,000 --> 00:08:11,000 และก็มีความผันผวนของความร้อนอยู่บ้าง 215 00:08:11,000 --> 00:08:13,000 แม้แต่ที่อวกาศอันว่างเปล่า 216 00:08:13,000 --> 00:08:15,000 ทั้งหมดเนี่ย ตีความได้ว่าอย่างนี้ครับ 217 00:08:15,000 --> 00:08:17,000 ว่าเอกภพก็เหมือนกับกล่องบรรจุก๊าซ 218 00:08:17,000 --> 00:08:19,000 ที่จะมีอยู่อย่างนั้นต่อไปตลอดกาล 219 00:08:19,000 --> 00:08:21,000 อืม..ถ้างั้น มันสื่อความหมายโดยนัยว่าอะไรหล่ะ 220 00:08:21,000 --> 00:08:24,000 ความหมายโดยนัยที่ว่านี้ โบล์ท์สมันได้ทำการศึกษาไว้ตั้งแต่ในศตวรรษที่ 19 แล้วหละครับ 221 00:08:24,000 --> 00:08:27,000 เขาบอกว่าแบบนี้ครับ เอ็นโทรปีเพิ่มขึ้น 222 00:08:27,000 --> 00:08:29,000 เพราะว่ามีวิธีมากมายหลายหลากกว่า 223 00:08:29,000 --> 00:08:32,000 ที่เอกภพจะไปสู่สภาพเอ็นโทรปีสูง แทนที่จะเป็นเอ็นโทรปีต่ำ 224 00:08:32,000 --> 00:08:35,000 แต่นี่เป็นข้อเท็จจริงในเชิงความน่าจะเป็นนะครับ 225 00:08:35,000 --> 00:08:37,000 อย่างนี้ครับ มีความเป็นไปได้ที่เอ็นโทรปีจะเพิ่มสูงขึ้น 226 00:08:37,000 --> 00:08:39,000 และความเป็นไปได้มีอยู่สูงมากๆครับ 227 00:08:39,000 --> 00:08:41,000 ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องไปกังวลอะไรกับมันหรอกนะครับ 228 00:08:41,000 --> 00:08:45,000 จะมีโอกาสแค่ไหน ที่อากาศในห้องนี้จะไปกระจุกตัวกันที่นึง แล้วทำให้พวกเราขาดอากาศหายใจกันไม่ออก 229 00:08:45,000 --> 00:08:47,000 แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยครับ 230 00:08:47,000 --> 00:08:49,000 ยกเว้นว่า ห้องนี้ถูกปิดสนิท 231 00:08:49,000 --> 00:08:51,000 แล้วขังเราอยู่แต่ในนี้ไปตลอดกาล 232 00:08:51,000 --> 00:08:53,000 สิ่งว่านี้อาจเกิดขึ้นได้ 233 00:08:53,000 --> 00:08:55,000 อะไรก็ตามครับ ที่เป็นไปได้ 234 00:08:55,000 --> 00:08:58,000 การจัดเรียงโมเลกุลของอากาศในห้องนี้ทุกๆแบบที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ 235 00:08:58,000 --> 00:09:00,000 ก็ค่อยๆเกิดขึ้นไปจนครบทุกแบบทุกเหตุการณ์ครับ 236 00:09:00,000 --> 00:09:03,000 โบล์ท์สมันก็เลยบอกว่า 'เอางี้สิ ก็เริ่มจากเอกภพ 237 00:09:03,000 --> 00:09:05,000 ที่มีความสมดุลในเชิงพลังงานความร้อน' 238 00:09:05,000 --> 00:09:08,000 เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับบิ๊กแบง และก็ไม่รู้ด้วยว่าเอกภพมีการขยายตัว 239 00:09:08,000 --> 00:09:11,000 เขาคิดแค่ว่าอวกาศและกาลเวลาอธิบายได้ด้วยกฏของนิวตัน (Isaac Newton) 240 00:09:11,000 --> 00:09:13,000 ว่าอวกาศและกาลเวลามีความสัมบูรณ์ในตัวเอง และจะเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดไป 241 00:09:13,000 --> 00:09:15,000 ดังนั้น แนวคิดของเขาในเรื่องเอกภพในธรรมชาติ 242 00:09:15,000 --> 00:09:18,000 ก็คือแบบที่มีโมเลกุลอากาศกระจายอยู่อย่างสม่ำเสมอทั่วทุกแห่งทุกหน 243 00:09:18,000 --> 00:09:20,000 เป็นทำนองว่า 'อะไรๆก็โมเลกุล' แบบนั้นเลยครับ 244 00:09:20,000 --> 00:09:23,000 ถ้าเกิดคุณเป็นโบล์ท์สมัน คุณก็จะรู้ว่า ถ้ารอนานพอ 245 00:09:23,000 --> 00:09:26,000 ความผันผวนอย่างไร้แบบแผนของโมเลกุลพวกนี้ 246 00:09:26,000 --> 00:09:28,000 พอโอกาสอำนวย จะทำให้โมเลกุล 247 00:09:28,000 --> 00:09:30,000 จัดเรียงตัวกันในรูปแบบที่เอ็นโทรปีต่ำ 248 00:09:30,000 --> 00:09:32,000 ซึ่งถัดต่อไป ว่ากันตามธรรมชาติ 249 00:09:32,000 --> 00:09:34,000 มันก็จะขยายตัวกลับไปอยู่ดี 250 00:09:34,000 --> 00:09:36,000 ฉะนั้น เอ็นโทรปีก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นเสมอ 251 00:09:36,000 --> 00:09:39,000 บางครั้งอาจจะเกิดความผันแปรไปสู่สภาพเอ็นโทรปีต่ำ 252 00:09:39,000 --> 00:09:41,000 ที่จัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบกว่าบ้างก็ได้เหมือนกัน 253 00:09:41,000 --> 00:09:43,000 อ่า ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นจริง 254 00:09:43,000 --> 00:09:45,000 ก็ถือได้ว่า โบล์ท์สมันได้สร้าง 255 00:09:45,000 --> 00:09:47,000 แนวคิดสมัยใหม่ที่สมเหตุสมผลมากๆถึง 2 แนวคิดด้วยกัน 256 00:09:47,000 --> 00:09:50,000 ซึ่งก็คือ 'พหุภพ' และ 'หลักมานุษยชาติ' 257 00:09:50,000 --> 00:09:52,000 เขาบอกว่า ปัญหาของสมดุลความร้อน 258 00:09:52,000 --> 00:09:54,000 ก็คือ มันเป็นสภาวะที่มนุษย์อย่างพวกเราไม่สามารถมีีชีวิตอยู่ได้ 259 00:09:54,000 --> 00:09:57,000 ต้องพึงระลึกไว้อย่างหนึ่งก่อนนะครับว่า สิ่งมีชีวิตต้องพึงพาอาศัยลูกศรแห่งกาลเวลา 260 00:09:57,000 --> 00:09:59,000 เราจะไม่สามารถประมวลข้อมูลใดๆ 261 00:09:59,000 --> 00:10:01,000 ไม่สามารถมีการสันดาป เดิน หรือแม้แต่พูด 262 00:10:01,000 --> 00:10:03,000 ถ้าเราอาศัยอยู่ในสภาวะสมดุลความร้อน 263 00:10:03,000 --> 00:10:05,000 หากเราลองจินตนาการถึงเอกภพที่ใหญ่มหึมา 264 00:10:05,000 --> 00:10:07,000 ใหญ่มากๆแบบไม่มีขอบเขตสิ้นสุด 265 00:10:07,000 --> 00:10:09,000 ในนั้นมีอนุภาคที่วิ่งชนกันอย่างอิสระ 266 00:10:09,000 --> 00:10:12,000 บางครั้งก็จะผันแปรนิดๆหน่อยๆ ในสภาพที่เอ็นโทรปีต่ำ 267 00:10:12,000 --> 00:10:14,000 แล้วก็คลายตัวกลับมาเป็นเหมือนเก่า 268 00:10:14,000 --> 00:10:16,000 แต่บางครั้งก็จะมีการแปรผันกันอย่างยิ่งใหญ่ 269 00:10:16,000 --> 00:10:18,000 บางครั้งนะครับ ก็จะได้เป็นดาวนพเคราะห์ออกมาเลย 270 00:10:18,000 --> 00:10:20,000 หรืออาจจะดาวฤกษ์ หรือไม่ก็เป็นดาราจักรเลยก็มี 271 00:10:20,000 --> 00:10:22,000 หรืออาจจะได้เป็นดาราจักรหมื่นล้านอัน 272 00:10:22,000 --> 00:10:24,000 โบล์ท์สมันก็เลยสรุปว่า 273 00:10:24,000 --> 00:10:27,000 เราอยู่ในเพียงส่วนหนึ่งของพหุภพ 274 00:10:27,000 --> 00:10:30,000 เป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนอันยิ่งใหญ่ ของความผันผวนของอนุภาค 275 00:10:30,000 --> 00:10:32,000 ซึ่งเป็นที่ๆสิิ่งมีชีวิตสามารถดำรงอยู่ได้ 276 00:10:32,000 --> 00:10:34,000 (ส่วนที่เราอยู่ในพหุภพ) ซึ่งก็คือส่วนที่มีเอ็นโทรปีต่ำครับ 277 00:10:34,000 --> 00:10:37,000 บางที เอกภาพของเราอาจจะเป็นหนึ่งในนั้น (ส่วนเอ็นโทรปีตำ่) 278 00:10:37,000 --> 00:10:39,000 ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวก็เป็นได้ 279 00:10:39,000 --> 00:10:41,000 เอาหล่ะ ที่นี่การบ้านของพวกคุณ 280 00:10:41,000 --> 00:10:43,000 ก็คือ ลองคิดดูนะครับว่าทั้งหมดเนี่ยมันหมายความว่ายังไง 281 00:10:43,000 --> 00:10:45,000 เคยมีคำพูดที่ติดหูของ คาร์ล ซาแกน (Carl Sagan) 282 00:10:45,000 --> 00:10:47,000 เขาบอกว่า "จะทำพายแอ๊ปเปิ้ลได้ 283 00:10:47,000 --> 00:10:50,000 ขั้นแรกสุดเราตั้งสร้างเอกภพเสียก่อน" 284 00:10:50,000 --> 00:10:52,000 ซึ่งจริงๆแล้วที่เขาพูดหน่ะไม่ถูกต้องครับ 285 00:10:52,000 --> 00:10:55,000 ถ้าจะเอาตามแบบโบล์ท์สมัน ต้องเป็นแบบนี้ ถ้าคุณจะทำพายแอ๊ปเปิ้ล 286 00:10:55,000 --> 00:10:58,000 คุณก็แค่นั่งรอให้อะตอมวิ่งไปมาแบบสุ่มๆ 287 00:10:58,000 --> 00:11:00,000 แล้วเดี๋ยวมันก็จะกลายเป็นพายแอ๊ปเปิ้ลให้คุณเอง 288 00:11:00,000 --> 00:11:02,000 แถมมันยังจะเกิดขึ้นบ่อยกว่า 289 00:11:02,000 --> 00:11:04,000 การที่อะตอมจะวิ่งสุ่มไปสุ่มมา 290 00:11:04,000 --> 00:11:06,000 แล้วกลายเป็นสวนแอ๊ปเปิ้ล 291 00:11:06,000 --> 00:11:08,000 เป็นน้ำตาล เป็นเตาอบ 292 00:11:08,000 --> 00:11:10,000 แล้วค่อยมารวมกันกลายเป็นพายแอ๊ปเปิ้ลให้คุณทีหลัง 293 00:11:10,000 --> 00:11:13,000 ดังนั้น สถาณการณ์นี้ได้ทำให้เกิดการคาดการพยากรณ์ 294 00:11:13,000 --> 00:11:15,000 คำพยากรณ์มีว่าอย่างนี้ครับ 295 00:11:15,000 --> 00:11:18,000 ความแปรผันที่ทำให้มีเราอยู่ทุกวันนี้ มันเล็กน้อยเท่านั้นครับ 296 00:11:18,000 --> 00:11:21,000 ถึงแม้ว่าคุณจะรู้สึกว่าห้องที่เราอยู่กันตอนนี้เนี่ย 297 00:11:21,000 --> 00:11:23,000 มีตัวตนและมีอยู่จริง แล้วพวกเราก็อยู่ที่นี้ด้วย 298 00:11:23,000 --> 00:11:25,000 แล้วสิ่งที่เรามีก็ไม่ใช่แค่ความทรงจำเพียงอย่างเดียว 299 00:11:25,000 --> 00:11:27,000 แต่เรายังมีเจตคติ ว่าข้างนอกห้องนี้ยังมีอย่างอื่นด้วย 300 00:11:27,000 --> 00:11:31,000 เช่นสิ่งที่เรียกว่า สถาบันคาลเทคฯ และ สหรัฐอเมริกา แล้วก็ ดาราจักรทางช้างเผือก 301 00:11:31,000 --> 00:11:34,000 เจตคติพวกเนี่ยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในสมองเราง่ายกว่า- 302 00:11:34,000 --> 00:11:36,000 การที่มันจะเกิดขึ้นจริงๆจากความผันผวนทางฟิสิกส์ 303 00:11:36,000 --> 00:11:39,000 จนกลายเป็นสถาบันคาลเทคฯ สหรัฐอเมริกา และเป็นดาราจักรแบบนี้ครับ 304 00:11:39,000 --> 00:11:41,000 ข่าวดีก็คือว่า 305 00:11:41,000 --> 00:11:44,000 ดังนั้นเหตุการณ์นี้ก็เป็นไปไม่ได้ มันไม่ถูกต้องครับ 306 00:11:44,000 --> 00:11:47,000 แนวคิดนี้พยากรณ์ว่าพวกเราควรจะเป็นผลพวงของความผันแปรขั้นต่ำ 307 00:11:47,000 --> 00:11:49,000 ถึงแม้คุณจะคิดว่า เราไม่มีดาราจักรของเรา 308 00:11:49,000 --> 00:11:51,000 คุณก็จะไม่มีทางได้ ดาราจักรอื่นอีกแสนล้านหรอกครับ 309 00:11:51,000 --> 00:11:53,000 และ ฟายน์มัน ก็เข้าใจอย่างนี้หมือนกัน 310 00:11:53,000 --> 00:11:57,000 ฟายน์มัน บอกว่า "จากสมมติฐานที่ว่าโลกคือผลพวงของความผันแปร 311 00:11:57,000 --> 00:11:59,000 ก็จะพยากรณ์ได้ว่า 312 00:11:59,000 --> 00:12:01,000 ถ้าเรามองไปตรงส่วนใดส่วนหนึ่งของโลกที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน 313 00:12:01,000 --> 00:12:03,000 เราจะต้องเห็นว่ามันรกเรื้อไปหมด ไม่เหมือนอย่างที่เราเห็นเมื่อตะกี้นี้ซึ่งเป็นสภาวะ 314 00:12:03,000 --> 00:12:05,000 เอ็นโทรปีสูง 315 00:12:05,000 --> 00:12:07,000 และถ้าความเป็นระเบียบเข้าที่เข้าทาง เกิดจากความผันแปรละก็ 316 00:12:07,000 --> 00:12:09,000 มันก็ไม่น่าจะมีที่ไหนที่ดูเป็นระเบียบอีกแล้วนอกจากตรงที่เราเพิ่งจะเห็น 317 00:12:09,000 --> 00:12:13,000 เพราะอย่างนี้ จึงพอจะสรุปได้ว่า เอกภพไม่ใช่ผลพวงของความแปรผัน" 318 00:12:13,000 --> 00:12:16,000 เป็นคำอธิบายที่ดีมากครับ คราวนี้คำถามก็จะกลายเป็นว่าแล้วคำตอบที่ถูกต้องหล่ะคืออะไร 319 00:12:16,000 --> 00:12:18,000 ถ้าเอกภพไม่ใช่ผลพวกของความแปรผัน 320 00:12:18,000 --> 00:12:21,000 ทำไมเอกภพในยุคต้นๆถึงได้มีเอ็นโทรปีต่ำ 321 00:12:21,000 --> 00:12:24,000 ผมอยากจะเฉลยคำตอบนั้นจริงๆครับ แต่เวลาพูดของผมจะหมดแล้วหน่ะสิ 322 00:12:24,000 --> 00:12:26,000 (เสียงหัวเราะ) 323 00:12:26,000 --> 00:12:28,000 นี่คือเอกภพที่เรานำเสนอให้คุณฟัง 324 00:12:28,000 --> 00:12:30,000 เทียบกับเอกภพจริงๆที่เป็นอยู่ 325 00:12:30,000 --> 00:12:32,000 รูปนี้ ผมเพิ่งนำเสนอไปเมื่อกี้ 326 00:12:32,000 --> 00:12:34,000 เอกภพมีการขยายตัวตลอดหมื่นล้านปีที่ผ่านมาหรืออะไรทำนองนั้น 327 00:12:34,000 --> 00:12:36,000 แล้วมันก็เย็นตัวลง 328 00:12:36,000 --> 00:12:38,000 แต่ในปัจจุบัน เรามีความรู้มากพอ เกี่ยวกับอนาคตของเอกภพ 329 00:12:38,000 --> 00:12:40,000 ที่จะสามารถอธิบายอะไรได้อีกหลายอย่าง 330 00:12:40,000 --> 00:12:42,000 ถ้าพลังงานมืดยังคงมีทั่วไป 331 00:12:42,000 --> 00:12:45,000 ดวงฤกษ์ที่อยู่โดยรอบพวกเรา ก็ใช้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ของพวกมัน เผาไปจนหมดเกลี้ยง 332 00:12:45,000 --> 00:12:47,000 แล้วก็จะยุบตัวไปในหลุมดำ 333 00:12:47,000 --> 00:12:49,000 เราก็จะอยู่ในเอกภพ 334 00:12:49,000 --> 00:12:51,000 ที่ไม่มีอะไรในนั้นเลยนอกจากหลุมดำ 335 00:12:51,000 --> 00:12:55,000 เอกภพที่ว่าจะคงอยู่ต่อไปอีกนานเป็น 10 ยกกำลัง 100 ปี 336 00:12:55,000 --> 00:12:57,000 นานกว่า ช่วงชีวิตจนถึงปัจจุบัน ของเอกภพเล็กๆของเราเสียอีก 337 00:12:57,000 --> 00:12:59,000 อนาคตยังอีกยาวไกลครับเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา 338 00:12:59,000 --> 00:13:01,000 แต่แม้กระทั่งหลุมดำก็ไม่ได้อยู่ไปตลอดกาล 339 00:13:01,000 --> 00:13:03,000 มันจะจางหายไปในที่สุด 340 00:13:03,000 --> 00:13:05,000 และเราก็จะถูกทิ้งไว้ในอวกาศที่ความว่างเปล่า 341 00:13:05,000 --> 00:13:09,000 ความว่างเปล่านั้น จะเป็นไปชั่วนิจนิรันดร 342 00:13:09,000 --> 00:13:12,000 แต่ยังไงก็ตาม คุณทราบแล้วว่า เพราะแม้แต่พื้นที่ว่างๆในอวกาศก็ฉายรังสีออกมา 343 00:13:12,000 --> 00:13:14,000 ดังนั้นมันก็มีเกิดความผันแปรของพลังงาน 344 00:13:14,000 --> 00:13:16,000 แล้วมันก็กระจายไปรอบๆ 345 00:13:16,000 --> 00:13:18,000 ด้วยความน่าจะเป็นทั้งหมดหลายรูปแบบ 346 00:13:18,000 --> 00:13:21,000 ตามการเปลี่ยนแปรค่าอย่างอิสระ (degree of freedom) ในอวกาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า 347 00:13:21,000 --> 00:13:23,000 เพราะฉะนั้น แม้ว่าเอกภพจะอยู่ไปชั่วนิรันดร์ 348 00:13:23,000 --> 00:13:25,000 เหตุการณ์ที่มีจำนวนเป็นอันตะ (จำกัด) เท่านั้น 349 00:13:25,000 --> 00:13:27,000 ที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ในเอกภพ 350 00:13:27,000 --> 00:13:29,000 พวกมันเกิดขึ้นในช่วงเวลา 351 00:13:29,000 --> 00:13:32,000 ที่มีค่าประมาณ 10 ยกกำลัง 10 ยกกำลัง 120 ปี 352 00:13:32,000 --> 00:13:34,000 อืม..อย่างนั้น ผมก็อยากถามคุณสักสองคำถามครับ 353 00:13:34,000 --> 00:13:37,000 คำถามแรก ก็คือ ถ้าหากว่าเอกภพอยู่ไปนานถึง 10 ยกกำลัง 10 ยกกำลัง 120 ปี 354 00:13:37,000 --> 00:13:39,000 ทำไม มนุษย์ถึงถือกำเนิด 355 00:13:39,000 --> 00:13:42,000 ในช่วงหมื่นสี่พันล้านปีแรกของเอกภพ 356 00:13:42,000 --> 00:13:45,000 ซึ่งอบอุ่น สบาย ที่เกิดถัดจากการเกิดบิ๊กแบงกันเลย 357 00:13:45,000 --> 00:13:47,000 ทำไมเราถึงไม่ไปเกิดอยู่ในความว่างเปล่าของอวกาศหล่ะครับ 358 00:13:47,000 --> 00:13:49,000 คุณอาจจะบอกว่า "อ่ะ ก็มันไม่มีอะไรให้เราใช้ชีิวิตอยู่ได้นิ" 359 00:13:49,000 --> 00:13:51,000 พูดอย่างนั้นอาจจะไม่ค่อยถูกต้องนักครับ 360 00:13:51,000 --> 00:13:53,000 จู่ๆคุณอาจจะจุติผุดขึ้นมาเฉยๆจากความไม่มีอะไรเลยก็เป็นหนิ 361 00:13:53,000 --> 00:13:55,000 ก็แล้วทำไมไม่เป็นอย่างนั้นหล่ะ 362 00:13:55,000 --> 00:13:58,000 เอาหล่ะสิ คุณได้การบ้านกลับไปคิดเพิ่มอีกแล้วครับ 363 00:13:58,000 --> 00:14:00,000 ก็อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วครับว่า จริงๆผมก็ไม่รู้คำตอบหรอก 364 00:14:00,000 --> 00:14:02,000 แต่ผมจะเล่าให้ฟังถึงแนวคิดที่ผมชอบก็แล้วกันครับ 365 00:14:02,000 --> 00:14:05,000 อาจจะเป็นว่า เอกภพมันก็เป็นแบบนั้นแหละ ไม่ต้องมีคำอธิบาย 366 00:14:05,000 --> 00:14:07,000 มันเป็นความจริง แบบทื่อๆแท้ ของเอกภพ 367 00:14:07,000 --> 00:14:10,000 ที่คุณควรที่จะเรียนรู้ ที่จะยอมรับมันซะ แล้วหยุดถามซะที 368 00:14:11,000 --> 00:14:13,000 หรือว่า บางที บิ๊กแบง 369 00:14:13,000 --> 00:14:15,000 ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเอกภพก็เป็นได้ 370 00:14:15,000 --> 00:14:18,000 อย่างไข่ ที่เป็นฟองๆนี่นะครับ ก็มีการจัดเรียงเอ็นโทรปีต่ำ 371 00:14:18,000 --> 00:14:20,000 ถึงอย่างนั้น พอเราเปิดตู้เย็น 372 00:14:20,000 --> 00:14:22,000 เราก็จะไม่พูดว่า "ฮ่า น่าแปลกใจจังที่เจอ 373 00:14:22,000 --> 00:14:24,000 การจัดเรียงรูปแบบเอ็นโทรปีต่ำในตู้เย็นของเราเองด้วย" 374 00:14:24,000 --> 00:14:27,000 นั่นก็เพราะว่าไข่ไม่ได้อยู่ในระบบปิดหน่ะสิครับ 375 00:14:27,000 --> 00:14:29,000 แต่มันออกมาจากแม่ไก่ 376 00:14:29,000 --> 00:14:33,000 บางทีเอกภพอาจจะออกมาจากแม่ไก่ของเอกภพอีกทีก็ได้ครับ 377 00:14:33,000 --> 00:14:35,000 บางทีอาจจะมีอะไรบางอย่างตามธรรมชาติ 378 00:14:35,000 --> 00:14:38,000 ที่อ้างอิงได้ด้วยกฏฟิสิกส์ที่พัฒนาขึ้นทุกวันนี้ 379 00:14:38,000 --> 00:14:40,000 ก่อให้เกิดเอกภพอย่างเอกภพของเรา 380 00:14:40,000 --> 00:14:42,000 ซึ่งอยู่ในสภาวะเอ็นโทรปีต่ำ 381 00:14:42,000 --> 00:14:44,000 ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มันควรเกิดขึ้นมากกว่าครั้งเดียว 382 00:14:44,000 --> 00:14:47,000 เราควรจะเป็นส่วนหนึ่งของพหุภพที่ใหญ่มหึมามากกว่านี้ 383 00:14:47,000 --> 00:14:49,000 อันนี้เป็นแนวคิดที่ผมชอบครับ 384 00:14:49,000 --> 00:14:52,000 อ่อ พอดีว่าทางผู้จัดเขาขอให้ผมจบการบรรยายด้วยแนวคิดที่ชัดเจน 385 00:14:52,000 --> 00:14:54,000 ผมก็เลยขอฟันธงตรงประเด็นไปเลยว่า 386 00:14:54,000 --> 00:14:57,000 ประวัติศาสตร์จะจารึกไว้ว่า (แนวคิดของ)ผมถูกต้องสมบูรณ์ 387 00:14:57,000 --> 00:14:59,000 และ 50 ปีต่อไปจากนี้ 388 00:14:59,000 --> 00:15:02,000 แนวความคิดที่บ้าๆของผมทั้งหมดจะได้รับการยอมรับว่าเป็นความจริง 389 00:15:02,000 --> 00:15:05,000 ทั้งใน และ นอก วงการวิทยาศาสตร์ 390 00:15:05,000 --> 00:15:07,000 พวกเราจะเชื่อกันว่าเอกภพเล็กๆของเรา 391 00:15:07,000 --> 00:15:10,000 เป็นแค่เพียงส่วนเสี้ยวของพหุภพที่ใหญ่มหึมากว่ามาก 392 00:15:10,000 --> 00:15:13,000 และยิ่งไปกว่านั้น เราจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นตอนเกิดบิ๊กแบง 393 00:15:13,000 --> 00:15:15,000 ในเชิงของทฤษฎี 394 00:15:15,000 --> 00:15:17,000 ซึ่งจะสามารถทำให้เราเปรียบเทียบกับการข้อมูลจากการสังเกตได้ 395 00:15:17,000 --> 00:15:19,000 นี่เป็นเพียงการคาดเดาครับ ผมอาจผิดก็ได้ 396 00:15:19,000 --> 00:15:21,000 แต่ในฐานะมนุษยชาติ เราก็ครุ่นคิดกันมาโดยตลอด 397 00:15:21,000 --> 00:15:23,000 ว่าเอกภพจะรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง 398 00:15:23,000 --> 00:15:26,000 ทำไมมันถึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่แบบนี้มานานนับไม่รู้จะกี่ปี 399 00:15:26,000 --> 00:15:29,000 เพียงแค่คิดว่าสักวันนึง เราจะสามารถรู้คำตอบได้ นี่ก็ตื่นเต้นมากแล้วครับ 400 00:15:29,000 --> 00:15:31,000 ขอบคุณครับ 401 00:15:31,000 --> 00:15:33,000 (เสียงปรบมือ)