ชอน คาร์โรลล์ (Sean Carroll): อดีตกาลแห่งกาลเวลาสู่การค้นหา "พหุภพ"
-
0:00 - 0:02เอกภพ
-
0:02 - 0:04เป็นอะไรที่กว้างใหญ่ไพศาลจริงๆครับ
-
0:04 - 0:07เราอยู่ในดาราจักรที่ชื่อว่า ทางช้างเผือก
-
0:07 - 0:10มีดวงดาวนับแสนล้านดวงอยู่ในทางช้างเผือก
-
0:10 - 0:12และถ้าคุณเอากล้องถ่ายรูป
-
0:12 - 0:14เล็งไปตรงไหนของท้องฟ้าก็ได้
-
0:14 - 0:16แล้วปล่อยช่องรับแสงของกล้องเปิดรับแสงไว้อย่างนั้น
-
0:16 - 0:19ตราบใดที่กล้องของคุณเชื่อมติดอยู่กับกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล (Hubble) ด้วยละก็
-
0:19 - 0:21กล้องก็จะจับภาพได้เป็นแบบนี้ครับ
-
0:21 - 0:24ก้อนกลมๆเบลอๆเล็กๆพวกนี้ แต่ละอัน
-
0:24 - 0:26คือดาราจักรที่ใหญ่พอๆกับทางช้างเผือกของเรานะครับนี่
-
0:26 - 0:29แต่ละดาราจักร มีดาวเป็นแสนล้านดวงเหมือนกัน
-
0:29 - 0:32แล้วก็มีกันร่วมแสนล้านดาราจักร
-
0:32 - 0:34ที่ค้นพบได้ในเอกภพนี้ครับ
-
0:34 - 0:36เอาเป็นว่า รู้แค่เลขแสนล้านตัวเดียว แค่นั้นก็เกินพอครับ
-
0:36 - 0:39อายุของเอกภพ ถ้านับตั้งแต่ปรากฎการณ์บิ๊กแบง มาจนถึงตอนนี้
-
0:39 - 0:41ก็แสนล้านปี ในหน่วยปีแบบหมานะครับ (หนึ่งปีของคน = หลายปีของหมา)
-
0:41 - 0:43(เสียงหัวเราะ)
-
0:43 - 0:46ซึ่งมันก็บอกอะไรบางอย่าง ถึงที่ของเราในเอกภพแห่งนี้
-
0:46 - 0:48รูปถ่ายแบบนี้ เราสามารถเอาไปใช้ง่ายๆได้อย่างหนึ่งครับ ก็คือเอาไว้ชื่มชม
-
0:48 - 0:50ช่างสวยงามตระการตาเหลือเกิน
-
0:50 - 0:53ผมสงสัยอยู่บ่อยๆครับว่า อะไรนะที่เป็นแรงผลักทางวิวัฒนาการ
-
0:53 - 0:56ที่ก่อให้เกิดบรรพบุรุษของพวกเราขึ้นมาในทุ่งหญ้าเวลด์ท์(Veldt ในทวีปอัฟริกา)แล้ววิวัฒนาการ
-
0:56 - 0:58จนได้มาเพลิศเพลินอยู่กับรูปถ่ายกลุ่มดาราจักรพวกนี้
-
0:58 - 1:00ในเมื่อตอนนั้นพวกเขาไม่มีรูปแบบนี้สักกะรูป
-
1:00 - 1:02พวกเราเองก็เถอะ เราก็อยากจะเข้าใจเรื่องของเอกภพ
-
1:02 - 1:06ในฐานะนักจักรวาลวิทยา ผมก็อยากจะรู้ว่าทำไมเอกภพจึงออกมาเป็นแบบนี้
-
1:06 - 1:09เบาะแสสำคัญที่จะทำให้เราได้คำตอบก็คือ เอกภพนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
-
1:09 - 1:12ถ้าคุณดูที่ดาราจักรพวกนี้สักอันนึง แล้ววัดความเร็ว
-
1:12 - 1:14มันก็จะเคลื่อนที่ห่างออกจากคุณไปเรื่อยๆ
-
1:14 - 1:16แล้วถ้าคุณดูที่ดาราจักรอันที่อยู่ไกลออกไปอีก
-
1:16 - 1:18มันก็ยิ่งจะเคลื่อนที่ห่างออกไปเร็วเข้าไปอีก
-
1:18 - 1:20นั่นก็แปลว่า เอกภพมีการขยายตัวครับ
-
1:20 - 1:22หมายความว่าอย่างนี้ครับ ในอดีตกาล
-
1:22 - 1:24ทุกอย่างอยู่ใกล้ๆรวมกันหมด
-
1:24 - 1:26ในอดีต เอกภพอัดตัวแน่นกว่าตอนนี้ครับ
-
1:26 - 1:28แล้วก็ร้อนกว่าด้วย
-
1:28 - 1:30ถ้าอัดอะไรเข้าด้วยกันแน่นๆ อุณหภูมิก็จะสูงขึ้นครับ
-
1:30 - 1:32ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลดี
-
1:32 - 1:34แต่ว่ามีอยู่อย่างที่ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่เลย
-
1:34 - 1:37ก็คือว่า เอกภพสมัยก่อนนู้น หลังจากที่เกิดบิ๊กแบงไม่เท่าไหร่
-
1:37 - 1:39มันราบเรียบเสมอกันไปหมดหน่ะสิครับ
-
1:39 - 1:41คุณอาจจะไม่รู้สึกแปลกใจอะไร
-
1:41 - 1:43ก็อย่างอากาศในห้องนี้ ก็ราบเรียบสม่ำเสมอ
-
1:43 - 1:46คุณอาจจะบอกว่า "ก็มันก็คงเรียบอย่างนั้นของมัน"
-
1:46 - 1:49แต่ว่าสภาพใกล้ๆบิ๊กแบงมันต่างไปจาก
-
1:49 - 1:51สภาพอากาศในห้องนี้เยอะมากนะครับ
-
1:51 - 1:53ส่วนหนึ่งก็คือทุกอย่างอัดตัวแน่นกว่ามาก
-
1:53 - 1:55แรงดึงดูดที่ดึงทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน
-
1:55 - 1:57นั้นแรงกว่ามาก ในช่วงที่ใกล้ปรากฎการณ์บิ๊กแบง
-
1:57 - 1:59ก็ลองคิดดูว่า
-
1:59 - 2:01เรามีเอกภพที่มีถึงแสนล้านดาราจักร
-
2:01 - 2:03แต่ละดาราจักร ก็มีดาวอีกแสนล้านดวง
-
2:03 - 2:06ในตอนนั้น ดาราจักรทั้งแสนล้านอัน
-
2:06 - 2:09ถูกบีบให้มีขนาดเท่าเนี่ย
-
2:09 - 2:11เท่านี้จริงๆครับ ตอนช่วงนั้น
-
2:11 - 2:13แล้วคุณก็ต้องคิดดูด้วยนะ ว่าการบีบอัด
-
2:13 - 2:15ที่ไร้ที่ติ
-
2:15 - 2:17ไม่มีแม้กระทั่งจุดเล็กจิ๋ว
-
2:17 - 2:19ที่มีอะตอมมากกว่าจุดอื่นสักแค่สองสามอะตอม ก็ไม่มี
-
2:19 - 2:22เราถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น ดาราจักรก็คงพังทลาย ด้วยผลจากแรงดึงดูด
-
2:22 - 2:24แล้วกลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่
-
2:24 - 2:27การที่จะทำให้เอกภพเรียบเสมอกันในช่วงเริ่มแรกนั้น
-
2:27 - 2:29ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และเป็นการจัดการที่ละเอียดอ่อนมาก
-
2:29 - 2:31ซึ่งก็บอกเราเป็นนัย
-
2:31 - 2:33ว่าเอกภพในยุคแรกไม่ได้ถูกเลือกมาแบบสุ่มๆ
-
2:33 - 2:35แต่มีอะไรบางอย่างทำให้มันเป็นแบบนี้
-
2:35 - 2:37แล้วทีนี้เราก็อยากรู้ว่า อะไรบางอย่างที่ว่า คืออะไรหล่ะ
-
2:37 - 2:40ความเข้าใจแนวคิดนี้ ส่วนหนึ่งมาจากลุดหวิก โบล์ท์สมัน (Ludwid Boltzmann)
-
2:40 - 2:43นักฟิสิกส์ชาวออสเตรียที่มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 ครับ
-
2:43 - 2:46โบล์ท์สมันมีส่วนทำให้เราเข้าใจเอ็นโทรปี
-
2:46 - 2:48คุณคงเคยได้ยินคำว่า 'เอ็นโทรปี' มาบ้างแล้ว
-
2:48 - 2:51มันก็คือ ความไม่มีแบบแผน ความไร้ระเบียบ ความยุ่งเหยิงของระบบ
-
2:51 - 2:53โบล์ท์สมันให้สมการกับเราครับ
-
2:53 - 2:55ซึ่งในปัจจุบัน สลักไว้ที่หินเหนือหลุมฝังศพเขาด้วย
-
2:55 - 2:57สมการนี้ช่วยให้เราวัดปริมาณเอ็นโทรปีได้จริง
-
2:57 - 2:59สมการนี้บอกไว้ง่ายๆ ว่าอย่างนี้
-
2:59 - 3:01เอ็นโทรปี คือ จำนวนวิธี
-
3:01 - 3:04ที่เราสามารถใช้ในการจัดเรียงองค์ประกอบของระบบได้โดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
-
3:04 - 3:06ดังนั้นในระดับองค์รวมขนาดใหญ่ มันก็ดูเหมือนเดิม
-
3:06 - 3:08ถ้าเรามีอากาศอยู่ในห้องนี้
-
3:08 - 3:11คุณก็จะไม่สังเกต อะตอมทุกๆอะตอม
-
3:11 - 3:13การจัดเรียงที่มีเอ็นโทรปีต่ำ
-
3:13 - 3:15คือมันมีวิธีจัดเรียงแค่ไม่กี่วิธีที่ภาพในองค์รวมยังจะดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
-
3:15 - 3:17การจัดเรียงที่มีเอ็นโทรปีสูง
-
3:17 - 3:19ก็การที่มีวิธีจัดเรียงมากมายหลายหลากที่ยังไงๆภาพในองค์รวมก็จะไม่เปลี่ยน
-
3:19 - 3:21นี่ถือเป็นความเข้าใจที่เฉียบแหลมลึกซึ้งซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดเลยนะครับ
-
3:21 - 3:23เพราะทำให้เราสามารถอธิบาย
-
3:23 - 3:25กฏข้อที่สองของอุณหพลศาสตร์ได้ (thermodynamics)
-
3:25 - 3:28กฏที่ว่านี้ บอกว่า เอ็นโทรปีจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในเอกภพนี้
-
3:28 - 3:30หรือแม้แต่ส่วนเล็กย่อยของเอกภพด้วย
-
3:30 - 3:32สาเหตุว่าทำไมเอ็นโทรปีถึงเพิ่มขึ้น
-
3:32 - 3:35ง่ายๆ ก็คือ เพราะว่าจะมีหลากหลายวิธีกว่า
-
3:35 - 3:37ที่จะอยู่ในสถานะเอ็นโทรปีสูง มากกว่าที่จะไปเป็นเอ็นโทรปีต่ำ
-
3:37 - 3:39นี่เป็นแง่มุมที่ยอดเยี่ยมเฉียบแหลมมากครับ
-
3:39 - 3:41แต่ว่ามันก็ยังทิ้งช่องโหว่ไว้
-
3:41 - 3:43เอ้อ เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังที่ว่าเอ็นโทรปีจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
-
3:43 - 3:46เป็นที่มาที่ไปของสิ่งที่พวกเราเรียกว่า "ลูกศรแห่งกาลเวลา" นะครับ
-
3:46 - 3:48คือความแตกต่างระหว่างเวลาแห่งอดีตกับเวลาแห่งอนาคต
-
3:48 - 3:50ทุกๆความต่างที่มีอยู่
-
3:50 - 3:52ระหว่าง เวลาหนึ่งที่เราเรียกว่า 'อดีต' กับ อีกเวลาหนึ่งที่เราเรียกว่า 'อนาคต'
-
3:52 - 3:54มันมีได้ก็เพราะว่าเอ็นโทรปีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนี่แหละครับ
-
3:54 - 3:57ความเป็นจริงที่ว่า คุณสามารถจำอดีตได้ แต่จำอนาคตไม่ได้
-
3:57 - 4:00ความเป็นจริงที่ว่า คุณเกิด คุณใช้ชีวิต แล้วคุณถึงจะค่อยตาย
-
4:00 - 4:02เป็นไปตามลำดับแบบนี้เสมอ
-
4:02 - 4:04นั่นก็เพราะว่า เอ็นโทรปีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ
-
4:04 - 4:06โบล์ท์สมันอธิบายไว้ว่าถ้าคุณเริ่มจากสภาพที่เอ็นโทรปีต่ำ
-
4:06 - 4:08มันเป็นไปตามธรรมชาติเลยครับว่า เอ็นโทรปีจะต้องเพิ่มขึ้น
-
4:08 - 4:11เพราะว่ามันมีวิธีที่จะเป็นอยู่ในสภาพที่มีเอ็นโทรปีสูง มากมายกว่านั่นเอง
-
4:11 - 4:13แต่สิ่งที่เขาไม่ได้อธิบาย
-
4:13 - 4:16ก็คือว่า ทำไมเอ็นโทรปีจึงต่ำมาตั้งแต่แรก
-
4:16 - 4:18ความเป็นจริงที่ว่า เอ็นโทรปีของเอกภพมีค่าต่ำ
-
4:18 - 4:20เป็นสิ่งที่สะท้อนความจริง
-
4:20 - 4:22ว่า เอกภพในยุคเริ่มต้นในเรียบเสมอกันมากๆ
-
4:22 - 4:24เราอยากจะทำความเข้าใจกับเรื่องพวกนี้
-
4:24 - 4:26ก็นั่นเป็นหน้าที่ในฐานะของนักจักรวาลวิทยาครับ
-
4:26 - 4:28แต่โชคร้ายไปหน่อยที่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ประเด็นปัญหา
-
4:28 - 4:30ที่พวกเราให้ความใส่ใจมากพอ
-
4:30 - 4:32ไม่ใช่สิ่งแรกๆที่ใครๆจะพูดถึง
-
4:32 - 4:34ถ้าคุณถามนักจักรวาลวิทยาสมัยใหม่ว่า
-
4:34 - 4:36"ประเด็นปัญหาอะไรที่เราจะกำลังสนใจอยู่ในขณะนี้"
-
4:36 - 4:38บุคคลคนหนึ่งที่เข้าใจว่านี่คือประเด็นปัญหา
-
4:38 - 4:40คือ ริชาร์ด ฟายน์มัน (Richard Feynman)
-
4:40 - 4:42ห้าสิบปีก่อน เขาเคยกล่าวบรรยายมากมายหลากหลายหัวข้อ
-
4:42 - 4:44เขาได้ให้การบรรยายที่เป็นที่นิยม
-
4:44 - 4:46ซึ่งได้กลายเป็นชุดบรรยาย "คุณลักษณะของกฏฟิิสิกส์ (The Character of Physical Law)"
-
4:46 - 4:48การบรรยายในชั่วโมงสอนระดับปริญญาตรีที่คาลเทค (California Institute of Technology: Caltech)
-
4:48 - 4:50ได้กลายเป็นชุดบรรยาย "การบรรยายวิชาฟิสิกส์ของฟายน์มัน (The Feynman Lectures on Physics)"
-
4:50 - 4:52การบรรยายในชั่วโมงสอนระดับปริญญาโท/เอกที่คาลเทค
-
4:52 - 4:54ได้กลายเป็นชุดบรรยาย "การบรรยายเรื่อง แรงดึงดูด ของฟายน์มัน (The Feyman Lectures on Gravitation)"
-
4:54 - 4:57ในหนังสือของเขาทุกเล่ม ชุดบรรยายของเขาทุกชุด
-
4:57 - 4:59เขาจะเน้นปริศนาข้อนี้:
-
4:59 - 5:02ทำไมเอกภพในยุคต้นถึงจะต้องมีเอ็นโทรปีต่ำด้วย
-
5:02 - 5:04เขาพูดว่า -- ผมจะไม่พูดตามสำเนียงเขานะ --
-
5:04 - 5:07เขาพูดว่า "ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ครั้งหนึ่งเอกภพ
-
5:07 - 5:10เคยมีเอ็นโทรปีที่ต่ำมากสำหรับส่วนประกอบทางพลังงานของมัน
-
5:10 - 5:12และตั้งแต่นั้นมา เอ็นโทรปีก็ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
-
5:12 - 5:15เราไม่มีทางจะเข้าใจ 'ลูกศรแห่งกาลเวลา' ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
-
5:15 - 5:18จนกว่าความลี้ลับของจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์เอกภพ
-
5:18 - 5:20จะถูกลดทอนลงไปเรื่อยๆจนกระทั่ง
-
5:20 - 5:22การคาดคะเนได้กลายเป็นความเข้าใจแล้วเท่านั้น"
-
5:22 - 5:24นั่นแหละคืองานของพวกเรา
-
5:24 - 5:26เราอยากรู้ -- และนี่มันก็ 50 ปีผ่านมาแล้ว คุณกำลังคิดหล่ะสิว่า "แน่นอนหล่ะ"
-
5:26 - 5:28"มาป่านนี้แล้ว พวกเราก็รู้คำตอบแล้วสิ"
-
5:28 - 5:30ไม่จริงเลยนะครับที่ว่าเราคิดว่ารู้คำตอบแล้วหน่ะ
-
5:30 - 5:32เพราะว่าตอนนี้ ประเด็นปัญหานี้ยิ่งสลับซับซ้อนเข้าไปอีก
-
5:32 - 5:34แทนที่ว่าจะง่ายดายขึ้น
-
5:34 - 5:36ก็เพราะว่าในปี ค.ศ. 1998
-
5:36 - 5:39เราค้นพบอะไรที่บางอย่างที่สำคัญมากเกี่ยวกับเอกภพ ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อนครับ
-
5:39 - 5:41เราค้นพบว่า มันขยายตัวด้วยอัตราเร่ง ครับ
-
5:41 - 5:43เอกภพไม่ได้แค่ขยายตัวเฉยๆเสียแล้ว
-
5:43 - 5:45ถ้าคุณดูที่ดาราจักรแล้วเห็นว่ามันเคลื่อนที่ห่างออกไป
-
5:45 - 5:47พอผ่านไปพันล้านปี คุณกลับมาดูอีกหน
-
5:47 - 5:50มันจะยิ่งเคลื่อนที่ห่างออกไปเร็วยิ่งขึ้นไปอีก
-
5:50 - 5:53ดาราจักรแต่ละอันเคลื่อนที่ห่างออกจากกันเร็วขึ้นๆ
-
5:53 - 5:55งั้น สรุปกันสั้นๆก่อนว่า เอกภพขยายตัวในอัตราเร่ง
-
5:55 - 5:57กรณีนี้จะต่างจากกรณีเอ็นโทรปีต่ำในยุคเริ่มเอกภพตรงที่
-
5:57 - 5:59ถึงเราจะยังไม่รู้คำตอบ
-
5:59 - 6:01แต่อย่างน้อยเราก็มีทฤษฎีที่จะใช้อธิบายได้
-
6:01 - 6:03ถ้าทฤษฎีถูกต้องอะนะครับ
-
6:03 - 6:05ทฤษฎีที่ว่าคือ ทฤษฎีพลังงานมืด (dark energy)
-
6:05 - 6:08ซึ่งก็เป็นแนวคิดว่า พื้นที่ว่างเปล่าในอวกาศจริงๆแล้วมีพลังงานอยู่
-
6:08 - 6:11ทุกๆลูกบาศก์เซนติเมตรเล็กๆของอวกาศ
-
6:11 - 6:13ไม่ว่าจะมีอะไรอยู่หรือไม่ก็ตาม
-
6:13 - 6:15ไม่ว่าจะเป็นอนุภาค สสาร รังสี หรืออะไรก็แล้วแต่
-
6:15 - 6:18มีพลังงานอยู่ทั้งนี้ แม้แต่อวกาศเองก็มีพลังงานอยู่
-
6:18 - 6:20และถ้าว่าตามไอน์สไตน์ พลังงานนี้
-
6:20 - 6:23ทำให้มีแรงผลักให้เอกภพขยายตัว
-
6:23 - 6:25เป็นแรงกระตุ้นที่ไม่มีวันสิ้นสุด
-
6:25 - 6:27ที่ผลักดาราจักรให้ห่างออกจากกัน
-
6:27 - 6:30เพราะพลังงานมืด ซึ่งต่างจากสสารหรือรังสี
-
6:30 - 6:33จะไม่เจื่อจางหายไปกับการขยายตัวของเอกภพ
-
6:33 - 6:35ปริมาณของพลังงานในแต่ละลูกบาศก์เซ็นติเมตร
-
6:35 - 6:37มีเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
-
6:37 - 6:39ถึงแม้ว่าเอกภพจะขยายใหญ่ขึ้นๆ
-
6:39 - 6:42นี่เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะบอกได้ว่า
-
6:42 - 6:45เอกภพจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต
-
6:45 - 6:47อย่างหนึ่งเลยก็คือว่า เอกภพจะขยายตัวไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด
-
6:47 - 6:49ย้อนกลับไปเมื่อผมอายุเท่าๆพวกคุณ
-
6:49 - 6:51เราไม่รู้เลยว่าเอกภพจะเป็นยังไงต่อไป
-
6:51 - 6:54บางคนถึงกับคิดว่าในอนาคต เอกภพจะสูญสลาย
-
6:54 - 6:56ไอสไตน์ชอบใจแนวคิดนี้มาก
-
6:56 - 6:59แต่ว่าถ้ามีพลังงานมืดแล้วมันไม่สูญสลายหายไปไหน
-
6:59 - 7:02เอกภพก็จะขยายตัวไปเรื่อยๆ เป็นอย่างนั้นไปชั่วอนันตกาล
-
7:02 - 7:04ตั้งแต่เมื่อหมื่นสี่พันล้านปีก่อน
-
7:04 - 7:06หรือแสนล้านปีของหมานั่นแหละครับ
-
7:06 - 7:09ไปอีกนานเท่านานตราบชั่วนิรันดร์กาล
-
7:09 - 7:12แต่ในตอนนี้ ทั้งในทางปฏิบัติและทฤษฎี
-
7:12 - 7:14เราก็จะเห็นว่าอวกาศมีที่สิ้นสุด
-
7:14 - 7:16อวกาศอาจจะมีหรือไม่มีที่สิ้นสุดก็เป็นได้
-
7:16 - 7:18แต่เพราะว่าเอกภพขยายตัวเร็วๆทุกขณะ
-
7:18 - 7:20ถึงจะมีส่วนหนึ่งที่ยังไงเรามองไม่เห็น
-
7:20 - 7:22แล้วก็จะไม่มีทางมองเห็นเลยด้วย
-
7:22 - 7:24แต่มันก็มีจุดที่สิ้นสุด ที่เราจะเข้าถึงได้
-
7:24 - 7:26เป็นส่วนที่อยู่ภายในเส้นขอบจักรวาลครับ
-
7:26 - 7:28ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะดำเนินไปชั่วนิรันดร์
-
7:28 - 7:30แต่สำหรับพวกเราแล้ว อวกาศมีที่สิ้นสุดครับ
-
7:30 - 7:33อย่างสุดท้ายก็คือ แม้แต่ที่ว่างเปล่าในอวกาศก็ยังมีอุณหภูมิความร้อนหนาว
-
7:33 - 7:35ในช่วงคริสตทศวรรษ 1970 สตีเฟน ฮอว์กิ้ง (Stephen Hawking) บอกว่า
-
7:35 - 7:37หลุมดำที่เราคิดกันว่ามืดสนิทนั้น
-
7:37 - 7:39จริงๆแล้วมันฉายรังสีออกมาด้วย
-
7:39 - 7:41เมื่อเรานำทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมเข้ามาใช้อธิบาย
-
7:41 - 7:44ความเว้าโค้งของ กาล-อวกาศ (space-time) รอบๆหลุมดำ
-
7:44 - 7:47ก่อให้เกิดความผันผวนปรวนแปรในเชิงกลศาสตร์ควอนตัม
-
7:47 - 7:49หลุมดำจึงฉายรังสีออกมา
-
7:49 - 7:52ฮอว์กิ้ง และ แกรี่ กิบบอนส์ (Gary Gibbons) ได้ทำการคำนวณออกมาได้ผลคล้ายๆกันครับ
-
7:52 - 7:55ซึ่งแสดงว่า มีพลังงานมืดอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าของอวกาศ
-
7:55 - 7:58และเอกภพก็ฉายรังสีออกมาโดยทั่ว
-
7:58 - 8:00พลังงานในพื้นที่ว่างเปล่าของอวกาศ
-
8:00 - 8:02ทำให้เกิดความผันผวนปรวนแปรของควอนตัม
-
8:02 - 8:04และ ถึงแม้ว่าเอกภพจะมีอยู่ไปชั่วกาลนาน
-
8:04 - 8:07และถึงแม้ว่า สสารและรังสีทั่วๆไปจะเลือนลางจากหายไปในที่สุด
-
8:07 - 8:09แต่รังสีนั้น จะยังคงอยู่ไม่ไปไหน
-
8:09 - 8:11และก็มีความผันผวนของความร้อนอยู่บ้าง
-
8:11 - 8:13แม้แต่ที่อวกาศอันว่างเปล่า
-
8:13 - 8:15ทั้งหมดเนี่ย ตีความได้ว่าอย่างนี้ครับ
-
8:15 - 8:17ว่าเอกภพก็เหมือนกับกล่องบรรจุก๊าซ
-
8:17 - 8:19ที่จะมีอยู่อย่างนั้นต่อไปตลอดกาล
-
8:19 - 8:21อืม..ถ้างั้น มันสื่อความหมายโดยนัยว่าอะไรหล่ะ
-
8:21 - 8:24ความหมายโดยนัยที่ว่านี้ โบล์ท์สมันได้ทำการศึกษาไว้ตั้งแต่ในศตวรรษที่ 19 แล้วหละครับ
-
8:24 - 8:27เขาบอกว่าแบบนี้ครับ เอ็นโทรปีเพิ่มขึ้น
-
8:27 - 8:29เพราะว่ามีวิธีมากมายหลายหลากกว่า
-
8:29 - 8:32ที่เอกภพจะไปสู่สภาพเอ็นโทรปีสูง แทนที่จะเป็นเอ็นโทรปีต่ำ
-
8:32 - 8:35แต่นี่เป็นข้อเท็จจริงในเชิงความน่าจะเป็นนะครับ
-
8:35 - 8:37อย่างนี้ครับ มีความเป็นไปได้ที่เอ็นโทรปีจะเพิ่มสูงขึ้น
-
8:37 - 8:39และความเป็นไปได้มีอยู่สูงมากๆครับ
-
8:39 - 8:41ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องไปกังวลอะไรกับมันหรอกนะครับ
-
8:41 - 8:45จะมีโอกาสแค่ไหน ที่อากาศในห้องนี้จะไปกระจุกตัวกันที่นึง แล้วทำให้พวกเราขาดอากาศหายใจกันไม่ออก
-
8:45 - 8:47แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยครับ
-
8:47 - 8:49ยกเว้นว่า ห้องนี้ถูกปิดสนิท
-
8:49 - 8:51แล้วขังเราอยู่แต่ในนี้ไปตลอดกาล
-
8:51 - 8:53สิ่งว่านี้อาจเกิดขึ้นได้
-
8:53 - 8:55อะไรก็ตามครับ ที่เป็นไปได้
-
8:55 - 8:58การจัดเรียงโมเลกุลของอากาศในห้องนี้ทุกๆแบบที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้
-
8:58 - 9:00ก็ค่อยๆเกิดขึ้นไปจนครบทุกแบบทุกเหตุการณ์ครับ
-
9:00 - 9:03โบล์ท์สมันก็เลยบอกว่า 'เอางี้สิ ก็เริ่มจากเอกภพ
-
9:03 - 9:05ที่มีความสมดุลในเชิงพลังงานความร้อน'
-
9:05 - 9:08เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับบิ๊กแบง และก็ไม่รู้ด้วยว่าเอกภพมีการขยายตัว
-
9:08 - 9:11เขาคิดแค่ว่าอวกาศและกาลเวลาอธิบายได้ด้วยกฏของนิวตัน (Isaac Newton)
-
9:11 - 9:13ว่าอวกาศและกาลเวลามีความสัมบูรณ์ในตัวเอง และจะเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดไป
-
9:13 - 9:15ดังนั้น แนวคิดของเขาในเรื่องเอกภพในธรรมชาติ
-
9:15 - 9:18ก็คือแบบที่มีโมเลกุลอากาศกระจายอยู่อย่างสม่ำเสมอทั่วทุกแห่งทุกหน
-
9:18 - 9:20เป็นทำนองว่า 'อะไรๆก็โมเลกุล' แบบนั้นเลยครับ
-
9:20 - 9:23ถ้าเกิดคุณเป็นโบล์ท์สมัน คุณก็จะรู้ว่า ถ้ารอนานพอ
-
9:23 - 9:26ความผันผวนอย่างไร้แบบแผนของโมเลกุลพวกนี้
-
9:26 - 9:28พอโอกาสอำนวย จะทำให้โมเลกุล
-
9:28 - 9:30จัดเรียงตัวกันในรูปแบบที่เอ็นโทรปีต่ำ
-
9:30 - 9:32ซึ่งถัดต่อไป ว่ากันตามธรรมชาติ
-
9:32 - 9:34มันก็จะขยายตัวกลับไปอยู่ดี
-
9:34 - 9:36ฉะนั้น เอ็นโทรปีก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นเสมอ
-
9:36 - 9:39บางครั้งอาจจะเกิดความผันแปรไปสู่สภาพเอ็นโทรปีต่ำ
-
9:39 - 9:41ที่จัดเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบกว่าบ้างก็ได้เหมือนกัน
-
9:41 - 9:43อ่า ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นจริง
-
9:43 - 9:45ก็ถือได้ว่า โบล์ท์สมันได้สร้าง
-
9:45 - 9:47แนวคิดสมัยใหม่ที่สมเหตุสมผลมากๆถึง 2 แนวคิดด้วยกัน
-
9:47 - 9:50ซึ่งก็คือ 'พหุภพ' และ 'หลักมานุษยชาติ'
-
9:50 - 9:52เขาบอกว่า ปัญหาของสมดุลความร้อน
-
9:52 - 9:54ก็คือ มันเป็นสภาวะที่มนุษย์อย่างพวกเราไม่สามารถมีีชีวิตอยู่ได้
-
9:54 - 9:57ต้องพึงระลึกไว้อย่างหนึ่งก่อนนะครับว่า สิ่งมีชีวิตต้องพึงพาอาศัยลูกศรแห่งกาลเวลา
-
9:57 - 9:59เราจะไม่สามารถประมวลข้อมูลใดๆ
-
9:59 - 10:01ไม่สามารถมีการสันดาป เดิน หรือแม้แต่พูด
-
10:01 - 10:03ถ้าเราอาศัยอยู่ในสภาวะสมดุลความร้อน
-
10:03 - 10:05หากเราลองจินตนาการถึงเอกภพที่ใหญ่มหึมา
-
10:05 - 10:07ใหญ่มากๆแบบไม่มีขอบเขตสิ้นสุด
-
10:07 - 10:09ในนั้นมีอนุภาคที่วิ่งชนกันอย่างอิสระ
-
10:09 - 10:12บางครั้งก็จะผันแปรนิดๆหน่อยๆ ในสภาพที่เอ็นโทรปีต่ำ
-
10:12 - 10:14แล้วก็คลายตัวกลับมาเป็นเหมือนเก่า
-
10:14 - 10:16แต่บางครั้งก็จะมีการแปรผันกันอย่างยิ่งใหญ่
-
10:16 - 10:18บางครั้งนะครับ ก็จะได้เป็นดาวนพเคราะห์ออกมาเลย
-
10:18 - 10:20หรืออาจจะดาวฤกษ์ หรือไม่ก็เป็นดาราจักรเลยก็มี
-
10:20 - 10:22หรืออาจจะได้เป็นดาราจักรหมื่นล้านอัน
-
10:22 - 10:24โบล์ท์สมันก็เลยสรุปว่า
-
10:24 - 10:27เราอยู่ในเพียงส่วนหนึ่งของพหุภพ
-
10:27 - 10:30เป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนอันยิ่งใหญ่ ของความผันผวนของอนุภาค
-
10:30 - 10:32ซึ่งเป็นที่ๆสิิ่งมีชีวิตสามารถดำรงอยู่ได้
-
10:32 - 10:34(ส่วนที่เราอยู่ในพหุภพ) ซึ่งก็คือส่วนที่มีเอ็นโทรปีต่ำครับ
-
10:34 - 10:37บางที เอกภาพของเราอาจจะเป็นหนึ่งในนั้น (ส่วนเอ็นโทรปีตำ่)
-
10:37 - 10:39ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวก็เป็นได้
-
10:39 - 10:41เอาหล่ะ ที่นี่การบ้านของพวกคุณ
-
10:41 - 10:43ก็คือ ลองคิดดูนะครับว่าทั้งหมดเนี่ยมันหมายความว่ายังไง
-
10:43 - 10:45เคยมีคำพูดที่ติดหูของ คาร์ล ซาแกน (Carl Sagan)
-
10:45 - 10:47เขาบอกว่า "จะทำพายแอ๊ปเปิ้ลได้
-
10:47 - 10:50ขั้นแรกสุดเราตั้งสร้างเอกภพเสียก่อน"
-
10:50 - 10:52ซึ่งจริงๆแล้วที่เขาพูดหน่ะไม่ถูกต้องครับ
-
10:52 - 10:55ถ้าจะเอาตามแบบโบล์ท์สมัน ต้องเป็นแบบนี้ ถ้าคุณจะทำพายแอ๊ปเปิ้ล
-
10:55 - 10:58คุณก็แค่นั่งรอให้อะตอมวิ่งไปมาแบบสุ่มๆ
-
10:58 - 11:00แล้วเดี๋ยวมันก็จะกลายเป็นพายแอ๊ปเปิ้ลให้คุณเอง
-
11:00 - 11:02แถมมันยังจะเกิดขึ้นบ่อยกว่า
-
11:02 - 11:04การที่อะตอมจะวิ่งสุ่มไปสุ่มมา
-
11:04 - 11:06แล้วกลายเป็นสวนแอ๊ปเปิ้ล
-
11:06 - 11:08เป็นน้ำตาล เป็นเตาอบ
-
11:08 - 11:10แล้วค่อยมารวมกันกลายเป็นพายแอ๊ปเปิ้ลให้คุณทีหลัง
-
11:10 - 11:13ดังนั้น สถาณการณ์นี้ได้ทำให้เกิดการคาดการพยากรณ์
-
11:13 - 11:15คำพยากรณ์มีว่าอย่างนี้ครับ
-
11:15 - 11:18ความแปรผันที่ทำให้มีเราอยู่ทุกวันนี้ มันเล็กน้อยเท่านั้นครับ
-
11:18 - 11:21ถึงแม้ว่าคุณจะรู้สึกว่าห้องที่เราอยู่กันตอนนี้เนี่ย
-
11:21 - 11:23มีตัวตนและมีอยู่จริง แล้วพวกเราก็อยู่ที่นี้ด้วย
-
11:23 - 11:25แล้วสิ่งที่เรามีก็ไม่ใช่แค่ความทรงจำเพียงอย่างเดียว
-
11:25 - 11:27แต่เรายังมีเจตคติ ว่าข้างนอกห้องนี้ยังมีอย่างอื่นด้วย
-
11:27 - 11:31เช่นสิ่งที่เรียกว่า สถาบันคาลเทคฯ และ สหรัฐอเมริกา แล้วก็ ดาราจักรทางช้างเผือก
-
11:31 - 11:34เจตคติพวกเนี่ยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในสมองเราง่ายกว่า-
-
11:34 - 11:36การที่มันจะเกิดขึ้นจริงๆจากความผันผวนทางฟิสิกส์
-
11:36 - 11:39จนกลายเป็นสถาบันคาลเทคฯ สหรัฐอเมริกา และเป็นดาราจักรแบบนี้ครับ
-
11:39 - 11:41ข่าวดีก็คือว่า
-
11:41 - 11:44ดังนั้นเหตุการณ์นี้ก็เป็นไปไม่ได้ มันไม่ถูกต้องครับ
-
11:44 - 11:47แนวคิดนี้พยากรณ์ว่าพวกเราควรจะเป็นผลพวงของความผันแปรขั้นต่ำ
-
11:47 - 11:49ถึงแม้คุณจะคิดว่า เราไม่มีดาราจักรของเรา
-
11:49 - 11:51คุณก็จะไม่มีทางได้ ดาราจักรอื่นอีกแสนล้านหรอกครับ
-
11:51 - 11:53และ ฟายน์มัน ก็เข้าใจอย่างนี้หมือนกัน
-
11:53 - 11:57ฟายน์มัน บอกว่า "จากสมมติฐานที่ว่าโลกคือผลพวงของความผันแปร
-
11:57 - 11:59ก็จะพยากรณ์ได้ว่า
-
11:59 - 12:01ถ้าเรามองไปตรงส่วนใดส่วนหนึ่งของโลกที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
-
12:01 - 12:03เราจะต้องเห็นว่ามันรกเรื้อไปหมด ไม่เหมือนอย่างที่เราเห็นเมื่อตะกี้นี้ซึ่งเป็นสภาวะ
-
12:03 - 12:05เอ็นโทรปีสูง
-
12:05 - 12:07และถ้าความเป็นระเบียบเข้าที่เข้าทาง เกิดจากความผันแปรละก็
-
12:07 - 12:09มันก็ไม่น่าจะมีที่ไหนที่ดูเป็นระเบียบอีกแล้วนอกจากตรงที่เราเพิ่งจะเห็น
-
12:09 - 12:13เพราะอย่างนี้ จึงพอจะสรุปได้ว่า เอกภพไม่ใช่ผลพวงของความแปรผัน"
-
12:13 - 12:16เป็นคำอธิบายที่ดีมากครับ คราวนี้คำถามก็จะกลายเป็นว่าแล้วคำตอบที่ถูกต้องหล่ะคืออะไร
-
12:16 - 12:18ถ้าเอกภพไม่ใช่ผลพวกของความแปรผัน
-
12:18 - 12:21ทำไมเอกภพในยุคต้นๆถึงได้มีเอ็นโทรปีต่ำ
-
12:21 - 12:24ผมอยากจะเฉลยคำตอบนั้นจริงๆครับ แต่เวลาพูดของผมจะหมดแล้วหน่ะสิ
-
12:24 - 12:26(เสียงหัวเราะ)
-
12:26 - 12:28นี่คือเอกภพที่เรานำเสนอให้คุณฟัง
-
12:28 - 12:30เทียบกับเอกภพจริงๆที่เป็นอยู่
-
12:30 - 12:32รูปนี้ ผมเพิ่งนำเสนอไปเมื่อกี้
-
12:32 - 12:34เอกภพมีการขยายตัวตลอดหมื่นล้านปีที่ผ่านมาหรืออะไรทำนองนั้น
-
12:34 - 12:36แล้วมันก็เย็นตัวลง
-
12:36 - 12:38แต่ในปัจจุบัน เรามีความรู้มากพอ เกี่ยวกับอนาคตของเอกภพ
-
12:38 - 12:40ที่จะสามารถอธิบายอะไรได้อีกหลายอย่าง
-
12:40 - 12:42ถ้าพลังงานมืดยังคงมีทั่วไป
-
12:42 - 12:45ดวงฤกษ์ที่อยู่โดยรอบพวกเรา ก็ใช้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ของพวกมัน เผาไปจนหมดเกลี้ยง
-
12:45 - 12:47แล้วก็จะยุบตัวไปในหลุมดำ
-
12:47 - 12:49เราก็จะอยู่ในเอกภพ
-
12:49 - 12:51ที่ไม่มีอะไรในนั้นเลยนอกจากหลุมดำ
-
12:51 - 12:55เอกภพที่ว่าจะคงอยู่ต่อไปอีกนานเป็น 10 ยกกำลัง 100 ปี
-
12:55 - 12:57นานกว่า ช่วงชีวิตจนถึงปัจจุบัน ของเอกภพเล็กๆของเราเสียอีก
-
12:57 - 12:59อนาคตยังอีกยาวไกลครับเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา
-
12:59 - 13:01แต่แม้กระทั่งหลุมดำก็ไม่ได้อยู่ไปตลอดกาล
-
13:01 - 13:03มันจะจางหายไปในที่สุด
-
13:03 - 13:05และเราก็จะถูกทิ้งไว้ในอวกาศที่ความว่างเปล่า
-
13:05 - 13:09ความว่างเปล่านั้น จะเป็นไปชั่วนิจนิรันดร
-
13:09 - 13:12แต่ยังไงก็ตาม คุณทราบแล้วว่า เพราะแม้แต่พื้นที่ว่างๆในอวกาศก็ฉายรังสีออกมา
-
13:12 - 13:14ดังนั้นมันก็มีเกิดความผันแปรของพลังงาน
-
13:14 - 13:16แล้วมันก็กระจายไปรอบๆ
-
13:16 - 13:18ด้วยความน่าจะเป็นทั้งหมดหลายรูปแบบ
-
13:18 - 13:21ตามการเปลี่ยนแปรค่าอย่างอิสระ (degree of freedom) ในอวกาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า
-
13:21 - 13:23เพราะฉะนั้น แม้ว่าเอกภพจะอยู่ไปชั่วนิรันดร์
-
13:23 - 13:25เหตุการณ์ที่มีจำนวนเป็นอันตะ (จำกัด) เท่านั้น
-
13:25 - 13:27ที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ในเอกภพ
-
13:27 - 13:29พวกมันเกิดขึ้นในช่วงเวลา
-
13:29 - 13:32ที่มีค่าประมาณ 10 ยกกำลัง 10 ยกกำลัง 120 ปี
-
13:32 - 13:34อืม..อย่างนั้น ผมก็อยากถามคุณสักสองคำถามครับ
-
13:34 - 13:37คำถามแรก ก็คือ ถ้าหากว่าเอกภพอยู่ไปนานถึง 10 ยกกำลัง 10 ยกกำลัง 120 ปี
-
13:37 - 13:39ทำไม มนุษย์ถึงถือกำเนิด
-
13:39 - 13:42ในช่วงหมื่นสี่พันล้านปีแรกของเอกภพ
-
13:42 - 13:45ซึ่งอบอุ่น สบาย ที่เกิดถัดจากการเกิดบิ๊กแบงกันเลย
-
13:45 - 13:47ทำไมเราถึงไม่ไปเกิดอยู่ในความว่างเปล่าของอวกาศหล่ะครับ
-
13:47 - 13:49คุณอาจจะบอกว่า "อ่ะ ก็มันไม่มีอะไรให้เราใช้ชีิวิตอยู่ได้นิ"
-
13:49 - 13:51พูดอย่างนั้นอาจจะไม่ค่อยถูกต้องนักครับ
-
13:51 - 13:53จู่ๆคุณอาจจะจุติผุดขึ้นมาเฉยๆจากความไม่มีอะไรเลยก็เป็นหนิ
-
13:53 - 13:55ก็แล้วทำไมไม่เป็นอย่างนั้นหล่ะ
-
13:55 - 13:58เอาหล่ะสิ คุณได้การบ้านกลับไปคิดเพิ่มอีกแล้วครับ
-
13:58 - 14:00ก็อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วครับว่า จริงๆผมก็ไม่รู้คำตอบหรอก
-
14:00 - 14:02แต่ผมจะเล่าให้ฟังถึงแนวคิดที่ผมชอบก็แล้วกันครับ
-
14:02 - 14:05อาจจะเป็นว่า เอกภพมันก็เป็นแบบนั้นแหละ ไม่ต้องมีคำอธิบาย
-
14:05 - 14:07มันเป็นความจริง แบบทื่อๆแท้ ของเอกภพ
-
14:07 - 14:10ที่คุณควรที่จะเรียนรู้ ที่จะยอมรับมันซะ แล้วหยุดถามซะที
-
14:11 - 14:13หรือว่า บางที บิ๊กแบง
-
14:13 - 14:15ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเอกภพก็เป็นได้
-
14:15 - 14:18อย่างไข่ ที่เป็นฟองๆนี่นะครับ ก็มีการจัดเรียงเอ็นโทรปีต่ำ
-
14:18 - 14:20ถึงอย่างนั้น พอเราเปิดตู้เย็น
-
14:20 - 14:22เราก็จะไม่พูดว่า "ฮ่า น่าแปลกใจจังที่เจอ
-
14:22 - 14:24การจัดเรียงรูปแบบเอ็นโทรปีต่ำในตู้เย็นของเราเองด้วย"
-
14:24 - 14:27นั่นก็เพราะว่าไข่ไม่ได้อยู่ในระบบปิดหน่ะสิครับ
-
14:27 - 14:29แต่มันออกมาจากแม่ไก่
-
14:29 - 14:33บางทีเอกภพอาจจะออกมาจากแม่ไก่ของเอกภพอีกทีก็ได้ครับ
-
14:33 - 14:35บางทีอาจจะมีอะไรบางอย่างตามธรรมชาติ
-
14:35 - 14:38ที่อ้างอิงได้ด้วยกฏฟิสิกส์ที่พัฒนาขึ้นทุกวันนี้
-
14:38 - 14:40ก่อให้เกิดเอกภพอย่างเอกภพของเรา
-
14:40 - 14:42ซึ่งอยู่ในสภาวะเอ็นโทรปีต่ำ
-
14:42 - 14:44ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มันควรเกิดขึ้นมากกว่าครั้งเดียว
-
14:44 - 14:47เราควรจะเป็นส่วนหนึ่งของพหุภพที่ใหญ่มหึมามากกว่านี้
-
14:47 - 14:49อันนี้เป็นแนวคิดที่ผมชอบครับ
-
14:49 - 14:52อ่อ พอดีว่าทางผู้จัดเขาขอให้ผมจบการบรรยายด้วยแนวคิดที่ชัดเจน
-
14:52 - 14:54ผมก็เลยขอฟันธงตรงประเด็นไปเลยว่า
-
14:54 - 14:57ประวัติศาสตร์จะจารึกไว้ว่า (แนวคิดของ)ผมถูกต้องสมบูรณ์
-
14:57 - 14:59และ 50 ปีต่อไปจากนี้
-
14:59 - 15:02แนวความคิดที่บ้าๆของผมทั้งหมดจะได้รับการยอมรับว่าเป็นความจริง
-
15:02 - 15:05ทั้งใน และ นอก วงการวิทยาศาสตร์
-
15:05 - 15:07พวกเราจะเชื่อกันว่าเอกภพเล็กๆของเรา
-
15:07 - 15:10เป็นแค่เพียงส่วนเสี้ยวของพหุภพที่ใหญ่มหึมากว่ามาก
-
15:10 - 15:13และยิ่งไปกว่านั้น เราจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นตอนเกิดบิ๊กแบง
-
15:13 - 15:15ในเชิงของทฤษฎี
-
15:15 - 15:17ซึ่งจะสามารถทำให้เราเปรียบเทียบกับการข้อมูลจากการสังเกตได้
-
15:17 - 15:19นี่เป็นเพียงการคาดเดาครับ ผมอาจผิดก็ได้
-
15:19 - 15:21แต่ในฐานะมนุษยชาติ เราก็ครุ่นคิดกันมาโดยตลอด
-
15:21 - 15:23ว่าเอกภพจะรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง
-
15:23 - 15:26ทำไมมันถึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่แบบนี้มานานนับไม่รู้จะกี่ปี
-
15:26 - 15:29เพียงแค่คิดว่าสักวันนึง เราจะสามารถรู้คำตอบได้ นี่ก็ตื่นเต้นมากแล้วครับ
-
15:29 - 15:31ขอบคุณครับ
-
15:31 - 15:33(เสียงปรบมือ)
- Title:
- ชอน คาร์โรลล์ (Sean Carroll): อดีตกาลแห่งกาลเวลาสู่การค้นหา "พหุภพ"
- Speaker:
- Sean Carroll
- Description:
-
ณ งาน TEDxCaltech ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย ชอน คาร์โรลล์ (Sean Carroll) นักจักรวาลวิทยา ได้ออกมาถกประเด็นคำถามธรรมดาๆที่ไม่ธรรมดาได้อย่างสนุกสนานพร้อมกระตุ้นความคิดผ่านการท่องไปในธรรมชาติของกาลเวลาและเอกภพ คำถามนั้นมีอยู่ว่า ทำไมจึงจะต้องมี 'กาลเวลา' ขึ้นมาด้วย สิ่งที่อาจจะเป็นคำตอบให้กับคำถามนี้ได้นั้นเป็นมุมมองอันแปลกใหม่เกี่ยวกับธรรมชาติของเอกภพและพื้นที่แห่งความเป็นเราในนั้น
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 15:34
Kelwalin Dhanasarnsombut edited Thai subtitles for Distant time and the hint of a multiverse | ||
Heartfelt Grace added a translation |